ยาถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้บรรเทาอาการเจ็บป่วย ช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้ดีขึ้น แต่หากนำไปใช้ผิดวิธีก็อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ อย่างเช่น “ยาทรามาดอล” หรือที่หลายคนเรียกว่า “ยาเขียวเหลือง” ซึ่งเป็นยาแก้ปวดที่วัยรุ่นบางกลุ่มนำมาใช้เสพเพื่อทำให้เกิดความมึนเมา โดยหารู้ไม่ว่าความสุขเพียงชั่วครู่ที่เกิดจากการเสพนั้นอาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิต บทความนี้จะพาไปเจาะลึกกันว่า ทรามาดอลคือยาอะไรและทำไมจึงทำให้เกิดการเสพติดได้
ทรามาดอล หรือ Tramadol คือยาแก้ปวดในกลุ่มโอปิออยด์ (Opioid Analgesics) ออกฤทธิ์คล้ายกับมอร์ฟีนแต่เบากว่า มีทั้งชนิดเม็ด แคปซูล ยาเหน็บ และยาฉีด ซึ่งชนิดที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปจะบรรจุอยู่ในแคปซูลสีเขียวเหลือง คนจึงนิยมเรียกกันว่า “ยาเขียวเหลือง” ใช้บรรเทาอาการปวดระดับปานกลางถึงรุนแรงในผู้ที่มีอาการปวดแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง เช่น อาการปวดหลังผ่าตัด อาการปวดจากกระดูกหัก บาดแผล โรคมะเร็ง ข้อเสื่อม ข้ออักเสบรูมาตอยด์ ปวดกระดูกและกล้ามเนื้อ ฯลฯ รวมถึงผู้ที่ใช้ยาแก้ปวดชนิดอื่นแล้วไม่สามารถบรรเทาอาการได้
การทำงานของยาทรามาดอลนั้น กลไกการออกฤทธิ์มี 2 กลไก หนึ่งคือไปจับกับตัวรับโอปิออยด์ชนิดมิว (μ-opioid receptor) ในระบบประสาทส่วนกลาง และขัดขวางการส่งสัญญาณความเจ็บปวดระหว่างสมองกับร่างกาย สองคือไปยับยั้งการดูดซึมกลับของเซโรโทนิน (Serotonin) และนอร์เอพิเนฟริน (Norepinephrine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่มีบทบาทสำคัญต่อการควบคุมอารมณ์และความเจ็บปวด จึงช่วยบรรเทาอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบันมีการปรับสถานะของยาแก้ปวดทรามาดอลแล้ว จากที่เคยถูกจัดเป็นยาอันตราย ตอนนี้กลายมาเป็น “ยาควบคุมพิเศษ” ซึ่งหมายความว่ายาชนิดนี้จะจำหน่ายได้ก็ต่อเมื่อมีใบสั่งจากแพทย์เท่านั้น และห้ามจำหน่ายให้กับผู้ที่อายุต่ำกว่า 17 ปีในทุกกรณี หากพบว่ามีการจำหน่ายยาทรามาดอลผิดกฎหมาย เช่น จ่ายยาให้กับผู้ที่ไม่มีข้อบ่งใช้ทางการแพทย์ ลักลอบจำหน่ายตามโซเชียลมีเดีย หรือร้านขายยาที่ไม่ได้รับอนุญาต ไม่มีเภสัชกรประจำร้าน จะมีโทษทั้งจำและปรับ รวมถึงอาจถูกพักหรือเพิกถอนใบอนุญาต ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้คนบางกลุ่มนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ไม่ว่าจะเป็น
การใช้ทรามาดอลรักษาอาการปวด โดยทั่วไปจะรับประทานครั้งละ 50 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชม. โดยขนาดสูงสุดสำหรับผู้ใหญ่ไม่ควรเกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน แต่หากมีการใช้ยาแก้ปวดทรามาดอลในทางที่ผิด เช่น ใช้เกินขนาดที่แพทย์สั่ง ใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน หรือใช้เสพเพื่อความผ่อนคลาย อาจนำไปสู่การเสพติดและต้องเพิ่มปริมาณยามากขึ้นเพราะเกิดการดื้อยา ซึ่งจะส่งผลเสียต่อสุขภาพและทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ หัวใจเต้นเร็ว ช็อกหมดสติ เป็นต้น
อีกหนึ่งวิธีที่นิยมคือ การนำยาแก้ปวด Tramadol มาผสมกับเครื่องดื่ม หรือยาชนิดต่างๆ เช่น ทรามาดอลผสมโค้ก น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ยาแก้ไอ ยาลดน้ำมูก ยาแก้แพ้ ฯลฯ จะทำให้เกิดอาการมึนเมาคล้ายการดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้บางรายยังใช้ร่วมกับสารเสพติด เช่น ยาอี ยาบ้า น้ำกระท่อม ซึ่งจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
เมื่อทราบแล้วว่าประโยชน์ของยาทรามาดอลรักษาโรคอะไรได้บ้าง หลายคนก็คงจะสงสัยว่าทำไมการใช้ยานี้จึงทำให้เกิดการเสพติดได้ ต้องบอกว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่แค่ทรามาดอล แต่ยาแก้ปวดในกลุ่มโอปิออยด์เกือบทุกชนิดมีความเสี่ยงในการเสพติดสูง เพราะยาเหล่านี้จะออกฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง และทำให้เกิดอาการ “เคลิ้มสุข” เช่นเดียวกับฝิ่น เฮโรอีน ผู้ใช้จึงรู้สึกสงบ ผ่อนคลาย มึนเมา เคลิบเคลิ้ม และอยากใช้ซ้ำ จนนำไปไปสู่การเสพติดนั่นเอง
ส่วนใครที่สงสัยว่าทรามาดอลตรวจฉี่เจอไหม? ต้องบอกว่ามีโอกาสเจอได้ เพราะยาจะถูกขับออกทางปัสสาวะเป็นหลัก โดยสามารถตรวจพบได้นาน 2-4 วัน หลังกินทรามาดอลครั้งสุดท้าย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณยาและร่างกายของแต่ละคนด้วย
ทรามาดอลมีประโยชน์มาก แต่ก็เป็นยาที่มีผลข้างเคียงสูง จึงควรใช้เท่าที่จำเป็นและอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการเสพติด รวมถึงอาการไม่พึงประสงค์ เช่น
ผู้ที่ใช้ยาทรามาดอล ผลข้างเคียงอาจมีอาการ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ท้องผูก มือสั่น ใจสั่น ความดันโลหิตต่ำ มึนงง ง่วงซึม ฯลฯ หากมีการดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้ยาเสพติดชนิดอื่นร่วมด้วย ก็จะทำให้ทรามาดอลออกฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลางมากขึ้น ส่งผลให้อาการข้างเคียงรุนแรงขึ้นด้วย
ยาทรามาดอล โทษเมื่อใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานจนเสพติด จะทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงถึงขั้นประสาทหลอน ชัก มีอาการกล้ามเนื้อเกร็งกระตุกร่วมกับความดันโลหิตสูง เกิดภาวะลิ่มเลือดกระจายในหลอดเลือด ระบบหัวใจและหลอดเลือดล้มเหลว ไตวายเฉียบพลัน จนทำให้เสียชีวิตได้
การป้องกันที่ดีที่สุด คือ การรับประทานทรามาดอลตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ซื้อยามาทานเอง ไม่ปรับขนาดยาเอง และไม่ใช้ยาโดยไม่จำเป็น เพราะอาจทำให้เกิดการเสพติด เมื่อหยุดยาอย่างกะทันหันจะทำให้เกิดอาการถอนยาทรามาดอลได้ โดยส่วนใหญ่จะมีอาการวิตกกังวล กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ กล้ามเนื้อหดเกร็ง ปวดท้อง ปวดกระดูก ท้องเสีย ในขณะที่บางรายอาจมีอาการตื่นตระหนก ประสาทหลอน หวาดระแวง ซึมเศร้า แขนขาชา ขึ้นอยู่กับปริมาณยาและระยะเวลาที่เสพ
วิธีเลิกทรามาดอลจึงไม่ควรหยุดยาทันที เพราะอาจทำให้เกิดอาการลงแดงได้ แต่ต้องค่อยๆ ลดปริมาณลง เพื่อให้ร่างกายปรับตัวจนหยุดยาได้ ในกรณีที่ผู้ใช้ไม่สามารถเลิกยาทรามาดอลได้ด้วยตนเอง ควรเข้ารับการบำบัดรักษาในศูนย์บำบัดยาเสพติดที่มีทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญให้การดูแลอย่างใกล้ชิด จะช่วยให้สามารถหยุดยาได้อย่างปลอดภัยและยั่งยืน
ทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนมีทั้งคุณและโทษ อยู่ที่เราจะเลือกนำมาใช้อย่างไร ยาทรามาดอลก็เช่นกัน ถ้านำมาใช้อย่างถูกวิธีก็จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้หลายโรค แต่ถ้าใช้เกินขนาด หรือนำมาใช้เป็นยาเสพติดก็อาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต เพราะฉะนั้นหากคุณหรือคนใกล้ตัวกำลังเผชิญกับการติดทรามาดอล และอยากเลิกอย่างปลอดภัย ควรเลือกศูนย์บำบัดยาเสพติดที่ได้คุณภาพและวางใจได้ อย่าง “ศูนย์ฟื้นฟูไลท์เฮ้าส์” ที่พร้อมให้คำปรึกษา และมอบการฟื้นฟูภายใต้บรรยากาศที่อบอุ่น เป็นกันเอง ด้วยโปรแกรมบำบัดที่ออกแบบเฉพาะบุคคล โดยมีผู้เชี่ยวชาญและทีมสหวิชาชีพ อาทิ นักจิตวิทยา พยาบาลวิชาชีพ นักสังคมสงเคราะห์ คอยดูแลตลอด 24 ชม.
การนำยารักษาโรคมาใช้เป็นสารเสพติดยังคงเป็นปัญหาที่พบอย่างต่อเนื่อง เพราะยาบางชนิดก็ไม่ได้ถูกจัดเป็นยาที่ถูกควบคุม จึงสามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยาทั่วไป หนึ่งในนั้นคือ “ยาฟาเทค” ซึ่งจริงๆ แล้ว เป็นยาแก้แพ้ แต่วัยรุ่นบางกลุ่มนิยมนำไปผสมกับเครื่องดื่มหรือยาชนิดอื่นเพื่อให้เกิดความมึนเมา โดยไม่ได้ตระหนักเลยว่าการกระทำเช่นนี้อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต บทความนี้จะพามาทำความรู้จักกันว่าฟาเทคคือยาอะไร รวมถึงผลกระทบของการใช้ที่ผิดวิธี และแนวทางบำบัดฟื้นฟู พร้อมแล้วมาดูสาระสำคัญที่เรานำมาฝากกันวันนี้เลย
ฟาเทคหรือฟาเทคไซรัป คือ ชื่อทางการค้าของยาเซททิริซีน ไดไฮโดรคลอไรด์ (Cetirizine Dihydrochloride) ซึ่งเป็นยาต้านฮิสตามีนชนิดหนึ่งที่ใช้กันมานานในวงการแพทย์ สามารถบรรเทาอาการต่างๆ ที่เกิดจากการแพ้ เช่น น้ำมูกไหล ตาแดง เคืองตา คันจมูก คันคอ ลมพิษ ผื่นคันตามผิวหนังได้ โดยตัวยาจะออกฤทธิ์ไปยับยั้งการปล่อยสารฮิสตามีน (Histamine) ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมที่กระตุ้นให้เกิดการแพ้ เช่น เกสรดอกไม้ ฝุ่นละออง อาหารทะเล ฯลฯ เมื่อระดับฮิสตามีนลดลง อาการแพ้ต่างๆ ก็จะทุเลาลงด้วย
ข้อดีคือ ฟาเทคเป็นยาที่ออกฤทธิ์ได้นานถึง 21 ชั่วโมง และผ่านเข้าไปยังสมองได้น้อยกว่า ทำให้ยาไม่ได้ออกฤทธิ์กดประสาทส่วนกลางมากนัก จึงไม่ค่อยทำให้เกิดอาการง่วงซึมเมื่อเทียบกับยาแก้แพ้รุ่นเก่าชนิดอื่น เช่น ไดเฟนไฮดรามีน (Diphenhydramine) หรือ โปรเมทาซีน (Promethazine) ผู้ที่นำไปเสพจึงคิดว่าปลอดภัย แต่เมื่อใช้อย่างผิดวิธีก็ทำให้เกิดอันตรายได้เหมือนกัน
ยาฟาเทคที่จำหน่ายในประเทศไทยมีทั้งรูปแบบยาเม็ดและยาน้ำ ส่วนที่หลายคนสงสัยว่าฟาเทคไซรัปคือยาอะไร? ใช่ยาชนิดเดียวกันหรือไม่? คำตอบคือเป็นยาชนิดเดียวกัน แต่ฟาเทคไซรัปอยู่ในรูปของยาน้ำที่มีการเติมน้ำเชื่อมลงไปเพื่อปรับรสชาติให้หวานขึ้น ช่วยให้เด็กๆ รับประทานได้ง่าย หรือผู้สูงอายุที่มีปัญหาในการกลืนเม็ดยาก็สามารถรับประทานได้เช่นกัน แต่คนบางกลุ่มก็อาศัยข้อดีเหล่านี้นำไปใช้อย่างผิดวิธี ไม่ว่าจะเป็น
ผู้ที่นำฟาเทคมาใช้เสพ มักจะนิยมนำไปผสมกับเครื่องดื่ม เช่น สูตรฟาเทคไซรัปผสมโค้ก คือการนำฟาเทค 15-20 มล. ไปผสมกับน้ำอัดลม 1.5 ลิตร และใส่น้ำแข็งดื่ม จะทำให้เกิดอาการมึนเมาคล้ายการดื่มแอลกอฮอล์ ในขณะที่บางคนก็ผสมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปเลย หรือที่ร้ายแรงกว่านั้นคือการนำฟาเทคไซรัปผสมเขียวเหลืองหรือยาแก้ปวดที่ออกฤทธิ์กดประสาทและทำให้เกิดการเสพติด ดื่มไปแล้วอาจทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายอย่างรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
แม้จะเป็นยาที่มีผลข้างเคียงน้อย แต่การกินฟาเทคเกินขนาดที่แนะนำ จะด้วยความตั้งใจหรือเสพติดจนทำให้ต้องเพิ่มปริมาณยามากขึ้นก็ตาม อาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น กระสับกระส่าย หงุดหงิด ง่วงซึมอย่างรุนแรง ชัก หมดสติ และอาจเสียชีวิตได้
โดยปกติแล้ว ยาฟาเทคไซรัปไม่ได้กินแล้วทำให้เกิดอาการเสพติด แต่วัยรุ่นบางกลุ่มมีความเชื่อผิดๆ ว่า กินแล้วจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายและไม่เกิดอาการแฮงก์ จึงนำฟาเทคผสมกับน้ำอัดลม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือยา ตามสูตรต่างๆ ที่แพร่หลายในกลุ่มสังคมของตน ผลที่ได้จากการผสมนี้จะทำให้ผู้เสพเกิดอาการมึนเมา เคลิบเคลิ้ม ล่องลอย เหมือนอยู่ในฝัน ซึ่งเป็นอาการที่อาจทำให้รู้สึกดีในช่วงสั้นๆ แต่หากใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานหรือในปริมาณที่มากเกินไป ก็จะนำไปสู่ภาวะเสพติดในระยะยาวได้
ยาแก้แพ้ฟาเทคถือเป็นยาที่มีความปลอดภัยสูง แต่เมื่อนำไปผสมกับเครื่องดื่ม สารชนิดอื่น หรือใช้ต่อเนื่องจนเสพติด อาจทำให้เกิดอาการที่ไม่พึงประสงค์ได้ ดังนี้
หากสงสัยว่าฟาเทคไซรัปผิดกฎหมายไหม? การซื้อยาหรือใช้ยาฟาเทคโดยทั่วไปไม่ถือว่าผิดกฎหมาย เพราะฟาเทคจัดอยู่ในกลุ่มยาประเภทที่สามารถหาซื้อได้โดยไม่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์ การป้องกันจึงเป็นเรื่องที่ผู้ใช้ต้องตระหนักด้วยตัวเองว่า การนำไปใช้แบบผิดวิธี เช่น นำฟาเทคไซรัปผสมโค้ก สไปร์ท น้ำอัดลม หรือยาใดๆ ก็ตาม เพื่อเสพให้มึนเมา เป็นสิ่งที่อันตรายมาก ที่สำคัญ “อย่าลอง” โดยที่คิดว่าจะไม่ติดหรือไม่เป็นอะไร เพราะจุดเริ่มต้นของความคึกคะนอง อยากรู้อยากลอง มักจะนำไปสู่การเสพติดในที่สุด
และเมื่อพยายามลดหรือหยุดการใช้ฟาเทคไซรัป ก็อาจทำให้เกิดอาการถอนยา เช่น วิตกกังวล คัน นอนไม่หลับ เหงื่อออกมาก อารมณ์แปรปรวน คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ซึ่งความรุนแรงและระยะเวลาของอาการจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน แต่ส่วนใหญ่อาการมักไม่รุนแรง เพียงแค่ผู้ป่วยบางรายทนไม่ไหวก็จะกลับไปใช้ยาอีก จึงควรค่อยๆ ปรับลดขนาดยาและอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างราบรื่น
การใช้ยาฟาเทคอย่างผิดวิธีเสี่ยงที่จะเกิดผลเสียต่อสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ ดังนั้นจึงควรใช้ยาฟาเทคเพื่อรักษาโรคตามที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำอย่างเคร่งครัด และใช้ยาเมื่อมีอาการหรือเท่าที่จำเป็นเท่านั้น สำหรับใครที่กำลังเผชิญกับการติดฟาเทค แอลกอฮอล์ หรือสารเสพติดชนิดใดก็ตาม ศูนย์บำบัดยาเสพติดอย่างศูนย์ฟื้นฟูไลท์เฮ้าส์ ยินดีให้คำปรึกษา โดยมีทีมแพทย์และบุคลากรผู้เชี่ยวชาญที่จะคอยดูแลอย่างใกล้ชิด พร้อมโปรแกรมบำบัดที่ถูกหลัก และออกแบบสำหรับแต่ละบุคคลโดยเฉพาะ เพื่อให้คุณกลับมามีชีวิตที่สดใสแข็งแรงอีกครั้ง
รางจืดเป็นสมุนไพรที่มีชื่อเสียงมายาวนานในการช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย ทั้งจากสารเคมี พิษสัตว์ ยาเสพติด และแอลกอฮอล์ รางจืดไม่เพียงแค่ถูกใช้เป็นยาสมุนไพรเท่านั้น แต่ยังมีงานวิจัยที่ช่วยยืนยันถึงประสิทธิภาพในการถอนพิษของรางจืด รางจืดจึงกลายเป็นที่รู้จักและนิยมใช้ในวงการการแพทย์แผนไทย บทความนี้ เราจึงอยากมาไขข้อสงสัยเกี่ยวกับสมุนไพรรางจืด พร้อมทั้งบอกวิธีการใช้ในการถอนพิษยาเสพติดและข้อควรระวังในการใช้รางจืด พร้อมแล้วตามไปอ่านกันได้เลย
สมุนไพรรางจืดที่คนยกย่องให้เป็น “ราชาแห่งการล้างพิษ” มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Thunbergia laurifolia Lindl เป็นพืชไม้เลื้อยที่พบมากในประเทศไทย โดยมีชื่อเรียกแตกต่างกันตามท้องถิ่น เช่น รางเย็น ดุเหว่า ทิดพุด เครือเขาเขียว ขอบชะนาง ฯลฯ ลักษณะของใบรางจืดคือมีสีเขียวเข้ม ขนาดยาว 8-10 ซม. กว้าง 4-5 ซม. ขอบเรียบ ปลายเรียวแหลม ฐานกว้าง ดอกมีสีม่วงอมฟ้า รูปร่างคล้ายแตร
ยอดอ่อนและดอกของรางจืดสามารถนำมาใช้ปรุงอาหารได้หลายเมนู ส่วนที่นิยมนำมาใช้เป็นยาล้างสารพิษในร่างกายคือ ใบ ราก และเถา เนื่องจากมีสรรพคุณที่ช่วยขับสารพิษต่างๆ เช่น พิษจากยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า ยาเบื่อ สารตะกั่ว และยังช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง ท้องเสีย ได้อีกด้วย
รางจืดอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น สารกลุ่มฟีนอลิก (Phenolics), แคโรทีนอยด์ (Carotenoids), ไกลโคไซด์ (Glycoside) และฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) จึงมีสรรพคุณมากมาย ดังนี้
รางจืดมีสรรพคุณในการล้างพิษ ช่วยลดความเข้มข้นของสารพิษในร่างกาย ทั้งพิษที่เกิดจากสัตว์ เช่น งู แมงป่อง แมงดาทะเล พิษจากพืช เห็ด รวมถึงสารเคมีต่างๆ เช่น ยาเบื่อ ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า และยังใช้รางจืดล้างสารเสพติด แก้อาการเมากัญชา และบำบัดอาการติดบุหรี่ได้ด้วย
รางจืดช่วยลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือด บรรเทาอาการเมาค้าง ปวดหัว มึนหัวจากการดื่มแอลกอฮอล์ และช่วยปกป้องเซลล์ตับไม่ให้ถูกทำลาย นอกจากนี้ยังใช้บำบัดผู้ป่วยโรคพิษสุราเรื้อรัง โดยน้ำรางจืดจะไปกระตุ้นการขับปัสสาวะและลดความเป็นพิษของแอลกอฮอล์ที่มีต่อตับนั่นเอง
ประโยชน์ของรางจืดสามารถนำมาพอกบาดแผล โดยเฉพาะแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก จะช่วยให้หายไวขึ้น นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยลดบวม รักษาโรคผิวหนัง แมลงกัดต่อย เริม งูสวัด ลมพิษ ผดผื่นคันจากการแพ้ และยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้อีกด้วย
รางจืดสรรพคุณช่วยลดความร้อนในร่างกาย บรรเทาอาการไข้ ร้อนใน กระหายน้ำ อย่างไรก็ตามเนื่องจากรางจืดมีฤทธิ์เย็น จึงควรระมัดระวังการใช้ที่มากเกินไป อาจทำให้ร่างกายเย็น มือเท้าชา เลือดลมไหลเวียนไม่สะดวกได้
รางจืดมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด โดยเฉพาะสารกลุ่มฟีนอลิกที่มีปริมาณสูง จึงช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำลาย เสริมความแข็งแรงและชะลอความเสื่อมของเซลล์ ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ดูอ่อนเยาว์ และยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งด้วย
ว่านรางจืดขับสารเสพติดได้จริง แต่ต้องกินรางจืดถอนพิษยาเสพติดกี่วันก็ขึ้นอยู่กับชนิด ปริมาณ และระยะเวลาในการเสพของแต่ละคนด้วย จากผลการทดลองพบว่าปริมาณสารเสพติดในร่างกายที่ถูกขับออกมาทางปัสสาวะจะค่อยๆ ลดลง ใน 5 – 7 วัน โดยสามารถรับประทานได้หลายรูปแบบ ดังนี้
วิธีต้มใบรางจืดล้างสารเสพติด จะนำใบรางจืดแก่ 5–7 ใบมาล้างให้สะอาด ใส่ในน้ำ 1- 2 ลิตร ต้มประมาณ 15–20 นาที ดื่มขณะอุ่นครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3 ครั้ง ในกรณีที่เสพมานานหรือมีอาการรุนแรง ให้นำรากรางจืดที่มีอายุมากกว่า 1 ปี ขนาดประมาณ 1 ข้อนิ้วชี้ มาฝนหรือตำกับน้ำซาวข้าว ดื่มวันละ 3 ครั้ง ติดต่อกัน 3 -5 วัน
นำใบรางจืดสดมาล้างให้สะอาดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นนำไปตากแดดให้แห้ง หรืออบที่อุณหภูมิไม่เกิน 60 องศาเซลเซียส วิธีกินว่านรางจืดก็ให้ตักรางจืดแห้งมา 1-2 ช้อนชา ใส่ในน้ำร้อน แช่ทิ้งไว้ประมาณ 3 -5 นาที ใบรางจืดที่แห้งแล้วยังสามารถเก็บได้นาน โดยใส่ในภาชนะที่แห้งและปิดสนิท หากไม่สะดวกเตรียมเอง ก็สามารถซื้อแบบอบแห้งที่พร้อมชงได้ทันที
อีกหนึ่งวิธีกินรางจืดล้างพิษคือ การรับประทานรางจืดในรูปแบบแคปซูล ปริมาณ 1,200 – 1,500 มก.ต่อวัน หรือตามที่ระบุบนฉลากผลิตภัณฑ์ โดยแบ่งทาน 2 – 3 ครั้งหลังอาหาร
แม้ว่ารางจืดจะมีประโยชน์มากมายแต่ก็ต้องใช้อย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือมียาที่ต้องทานประจำ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะฤทธิ์ของรางจืดอาจไปขัดกับฤทธิ์ของยา นอกจากนี้การทานรางจืด ข้อควรระวังคือ ห้ามทานติดต่อกันเกิน 1 เดือน เพราะอาจส่งผลกระทบต่อตับ ไต และระบบเลือด หรือทำให้ร่างกายมีภาวะเย็นเกิน หนาวสั่นง่าย เป็นหวัด เหน็บชา หน้ามืด เวียนหัว อ่อนเพลีย เป็นต้น
การใช้รางจืดถอนพิษยาเสพติดได้ผลดีและยังช่วยบรรเทาอาการลงแดงจากการหยุดยาได้ด้วย แต่ก็ควรทานรางจืดควบคู่กับการบำบัดที่ถูกต้องและอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นหากคุณหรือคนรอบข้างต้องการเลิกยาแบบได้ผล ปลอดภัย ไม่ทรมาน สถานบําบัดยาเสพติดเอกชนชั้นนำอย่าง Lighthouse พร้อมช่วยเหลือ ทั้งให้คำปรึกษา และวางแผนการรักษาแบบเฉพาะบุคคล ตลอดจนการดูแลที่อบอุ่นตลอด 24 ชม. ท่ามกลางบรรยากาศที่ร่มรื่น ผ่อนคลาย สะดวกสบาย ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการฟื้นฟูทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ กลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข
ปัจจุบันบุหรี่ไฟฟ้าหรือพอต (Pod) เป็นเหมือนแฟชั่นที่หลายคนมองว่าสูบแล้วดูเท่ ทันสมัย จนทำให้เกิดนักสูบหน้าใหม่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังเชื่อกันว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้านั้นปลอดภัยกว่าบุหรี่ธรรมดา จึงไม่ต้องคอยกังวลเรื่องผลกระทบต่อสุขภาพที่จะตามมา แต่แท้จริงแล้วบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยจริงหรือแค่ภาพลวงตากันแน่? อันตรายจากบุหรี่ไฟฟ้ามีมากกว่าที่คิดหรือไม่ และบุหรี่ไฟฟ้ากับบุหรี่มวนอันไหนอันตรายกว่ากัน ตามไปหาคำตอบได้ในบทความนี้เลย
ก่อนจะไปดูว่าพอตกับบุหรี่อันไหนอันตรายกว่ากัน เรามาทำความรู้จักกับบุหรี่ทั้ง 2 ชนิดกันก่อน สำหรับบุหรี่ธรรมดา ทุกคนคงคุ้นตากันดีอยู่แล้ว คือมีลักษณะเป็นแท่งทรงกระบอกเล็กๆ ด้านนอกเป็นกระดาษห่อใบยาสูบไว้ด้านในนั่นเอง
แล้วบุหรี่ไฟฟ้าคืออะไร? บุหรี่ไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์สำหรับสูบบุหรี่ที่มีอุปกรณ์ทำความร้อนอยู่ด้านใน ทำหน้าที่เปลี่ยนน้ำยาให้กลายเป็นไอเพื่อใช้สูดดม ซึ่งลักษณะของบุหรี่ไฟฟ้าก็มีหลายรูปแบบ ทั้งแบบแท่งที่รูปร่างคล้ายแฟลชไดรฟ์และแบบเป็นกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ
ส่วนประกอบของบุหรี่ธรรมดา
บุหรี่หนึ่งมวนประกอบด้วยยาสูบบดละเอียดที่มีส่วนประกอบของสารนิโคตินและสารอื่นๆ อีกมากมายที่ใส่ลงไปเพื่อเพิ่มอรรถรสในการสูบหรือเพิ่มฤทธิ์ของนิโคติน เช่น สารหนู (Arsenic), อะซิโตนหรือสารประกอบในน้ำยาล้างเล็บ, ตะกั่ว, ฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) ฯลฯ ซึ่งหลายชนิดก็เป็นสารที่มีพิษต่อร่างกายและยังก่อให้เกิดโรคมะเร็งอีกด้วย
ส่วนประกอบของบุหรี่ไฟฟ้า
ส่วนประกอบของบุหรี่ไฟฟ้า ประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลักๆ คือ ตลับใส่น้ำยา อุปกรณ์ทำความร้อน และแบตเตอรี่ ซึ่งเมื่อดูแล้วอาจจะเหมือนไม่มีพิษภัย แต่มาดูกันว่าน้ำยาที่ใช้กับบุหรี่ไฟฟ้ามีสารอะไรบ้าง
บุหรี่ไฟฟ้ากับพอตเหมือนกันไหม?
พอตคือชื่อเรียกของบุหรี่ไฟฟ้าประเภทหนึ่งที่มีจุดเด่นคือขนาดเล็กกะทัดรัด พกพาสะดวก ใช้งานง่าย แม้ปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แต่ยังถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายเช่นเดียวกันบุหรี่ไฟฟ้าชนิดอื่นๆ ผู้ที่นำเข้า จำหน่าย ครอบครอง หรือสูบ จึงมีโทษทั้งจำทั้งปรับนั่นเอง
มีคนจำนวนไม่น้อยที่พยายามเลิกบุหรี่ธรรมดาด้วยการหันมาใช้พอตแทน เพราะเชื่อว่าเป็นวิธีที่ปลอดภัยและจะช่วยให้เลิกบุหรี่ได้สำเร็จ แต่การใช้พอตแทนบุหรี่ธรรมดาจะช่วยให้เลิกบุหรี่ได้จริงหรือ? มาดูรายละเอียดกัน
สิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนของบุหรี่ไฟฟ้ากับบุหรี่ธรรมดาคือ บุหรี่ธรรมดาใช้การจุดไฟเพื่อเผายาสูบให้เกิดควัน จึงสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว ส่วนบุหรี่ไฟฟ้าใช้หลักการทำความร้อนเพื่อให้ของเหลวที่มีส่วนประกอบของนิโคตินกลายเป็นละออง ซึ่งตัวเครื่องยังสามารถชาร์จไฟและเติมน้ำยาเพิ่มได้ จึงใช้ซ้ำได้หลายครั้ง
บุหรี่ไฟฟ้าไม่ก่อให้เกิดควันจากการเผาไหม้ที่มีกลิ่นเหม็นเหมือนบุหรี่ธรรมดาและไม่มีสารอันตรายที่มาพร้อมการเผาไหม้ เช่น น้ำมันดินหรือทาร์ (Tar) และคาร์บอนมอนอกไซด์ อย่างไรก็ตาม นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าบุหรี่ไฟฟ้าจะปลอดภัย เพราะบุหรี่ไฟฟ้าจะมีละอองไอน้ำที่มีอนุภาคขนาดเล็กของนิโคตินและสารอันตรายอื่นๆ ซึ่งเมื่อสูบเข้าไปก็ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้เหมือนกัน
บุหรี่ไฟฟ้ากับบุหรี่ธรรมดามีรูปร่างหน้าตาและการใช้งานที่แตกต่างกัน แต่ผลลัพธ์ก็ทำให้เสพติดได้เหมือนกัน โดยผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่เลิกบุหรี่ด้วยการหันมาใช้บุหรี่ไฟฟ้ามีโอกาสที่จะติดบุหรี่ไฟฟ้าแทนถึง 80% และยังเลิกยากกว่าบุหรี่ธรรมดาด้วย
นอกจากนี้องค์การอนามัยโลกยังออกมาเตือนถึงอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าว่า การที่บริษัทบุหรี่อ้างว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีสารเคมีที่อันตรายน้อยกว่า ไม่ได้แปลว่าบุหรี่ไฟฟ้าจะปลอดภัย เพราะบุหรี่ไฟฟ้ามีสารพิษหลายชนิดที่สูงกว่าบุหรี่ธรรมดา และส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นการเลิกบุหรี่ด้วยการสูบพอตจึงไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง และไม่ว่าบุหรี่ชนิดใดก็ไม่ควรสูบทั้งนั้น
โทษของสารเสพติดอย่างบุหรี่ธรรมดาหรือบุหรี่มวนส่งผลเสียต่อทั้งตัวผู้สูบและคนรอบข้าง เพราะบุหรี่ชนิดนี้จะไปทำลายระบบต่างๆ ในร่างกาย และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายแรงมากมาย ดังนี้
บุหรี่เป็นสาเหตุของโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง โรคถุงลมโป่งพอง รวมถึงโรคมะเร็งปอด ซึ่งเป็นหนึ่งในมะเร็งที่พบได้บ่อยและมีอัตราการเสียชีวิตสูงมาก
บุหรี่ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น หลอดเลือดแข็งตัว เสื่อมสภาพ ตีบตัน เสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หลอดเลือดหัวใจตีบ และหัวใจวายเฉียบพลัน
บุหรี่ทำให้เกิดกลิ่นปาก ฟันเหลือง เมื่อเป็นแผลในช่องปากก็จะหายช้าและยังมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเหงือกสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้สูญเสียฟันจนส่งผลกระทบต่อการเคี้ยวอาหารและภาพลักษณ์อีกด้วย
บุหรี่ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอ เซลล์เม็ดเลือดขาวทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จึงมีโอกาสที่จะติดเชื้อได้ง่ายขึ้น รุนแรงขึ้น และมีโอกาสสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบรุนแรงหรือติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต
ถ้าถามว่าสูบพอตอันตรายไหม? ตอบได้เลยว่าอันตรายมาก เพราะละอองของบุหรี่ไฟฟ้าก็มีสารเคมีและสารพิษที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเช่นเดียวกับบุหรี่ธรรมดา อีกทั้งขนาดของละอองที่เล็กกว่ายังสามารถดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว และทำให้เกิดผลเสียมากมาย ดังนี้
ข้อเสียของพอตทำให้ผู้สูบได้รับนิโคตินมากขึ้น เนื่องจากการแต่งกลิ่นและรส ทำให้ผู้สูบเพลิดเพลินโดยไม่ทันระวังปริมาณที่ใช้ เมื่อใช้ไปมากๆ ก็จะมีอาการเสพติด พอไม่ได้สูบก็จะรู้สึกหงุดหงิด กระวนกระวาย ซึมเศร้า เหนื่อยล้า ขาดสมาธิ
บุหรี่ไฟฟ้าทำให้ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ หลอดเลือดแดงหดตัวแคบลง อีกทั้งยังไปกระตุ้นให้เกิดการเพิ่มจำนวนของเซลล์ผนังหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน
บุหรี่ไฟฟ้าจะทำให้ฮอร์โมนคอร์ติซอลถูกหลั่งออกมามาก ซึ่งก็จะไปกระตุ้นให้ตับปล่อยน้ำตาลกลูโคสออกมามากขึ้น จนทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวาน หรือหากเป็นเบาหวานอยู่แล้ว ก็อาจทำให้อาการแย่ลงและเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา
ภัยของบุหรี่ไฟฟ้าทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจเกิดการระคายเคืองและอักเสบเรื้อรัง มีอาการแสบจมูก แสบคอ คัดจมูก ไอแห้ง หรือไอเป็นเลือด หอบเหนื่อย และอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อปอดอย่างรุนแรง จนส่งผลให้การทำงานของปอดลดลง
บุหรี่ไฟฟ้าทำให้ปวดหัว เวียนหัว มึนงง นอนไม่หลับ เพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคสมองเสื่อมมากกว่าผู้ที่ไม่สูบถึง 30% หากผู้สูบกำลังตั้งครรภ์ก็จะส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองทารกด้วย นอกจากนี้ยังทำให้การหลั่งสารสื่อประสาทต่างๆ ผิดปกติ จนนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าวิตกกังวลนั่นเอง
ผู้ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้ามีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรค EVALI (E-cigarette or Vaping product use-Associated Lung Injury) หรือโรคปอดอักเสบรุนแรงที่เกิดจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้า โดยจะมีอาการไอแห้ง เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก เป็นไข้ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดเมื่อยตามตัว และนำไปสู่ภาวะหายใจล้มเหลวจนเสียชีวิตได้
นอกจากนี้ข้อเสียของการดูดพอตยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมากมาย เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด หอบหืด โรคปอดเรื้อรัง โรคถุงลมอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โรคไต รวมถึงโรคมะเร็งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็งปอด มะเร็งช่องปาก มะเร็งหลอดอาหาร หรือมะเร็งตับอ่อน เป็นต้น
สรุปแล้วการดูดพอตอันตรายไหมและพอตกับบุหรี่ไฟฟ้าอันไหนอันตรายกว่ากัน ตอบได้เลยว่าอันตรายพอๆ กัน เพราะไม่ว่าจะเป็นบุหรี่ธรรมดาหรือบุหรี่ไฟฟ้าก็ทำให้รู้สึกดี ผ่อนคลาย ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น พอร่างกายเคยชินก็จะเกิดความทนทาน ทำให้ต้องสูบมากขึ้น บ่อยขึ้น จนส่งผลเสียต่อสุขภาพ ตามมาด้วยโรคมากมาย จึงควรเลิกให้เร็วที่สุด หากคุณหรือคนรอบข้างต้องการเลิกบุหรี่ไฟฟ้า ศูนย์ฟื้นฟูไลท์เฮ้าส์ ยินดีให้คำปรึกษา พร้อมออกแบบวิธีการรักษาที่เหมาะสำหรับแต่ละบุคคล โดยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี และการรักษาทั้งหมดจะถูกปิดเป็นความลับ ไม่ติดประวัติแน่นอน ติดต่อทีม Lighthouse ได้เลยวันนี้หากคุณพร้อมแล้วที่จะเป็นคนใหม่ หากไกลยาเสพติดทุกชนิด
สุราเครื่องดื่มคู่ใจในงานปาร์ตี้อาจกลายเป็นศัตรูตัวร้ายทันทีเมื่อดื่มมากเกินไป เพราะข้อเสียของการดื่มสุรา นอกจากจะทำให้เกิดอาการมึนเมา วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ยังไปทำลายอวัยวะสำคัญในร่างกายทีละน้อย กว่าจะรู้ตัวก็อาจสายเกินที่จะรักษาหรือฟื้นฟูสุขภาพให้กลับมาแข็งแรงได้เหมือนเดิม การเลิกเหล้าจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพในระยะยาว ดังนั้น เพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงภัยร้ายที่มาพร้อมการดื่มสุรา บทความนี้จึงจะพาไปดูว่า การดื่มสุรามีผลต่อร่างกายอย่างไร และโทษของการดื่มสุรามีอะไรบ้าง
ก่อนจะไปดูโทษของสุรา มาสำรวจกันดูสักหน่อยว่าส่วนประกอบของสุรามีอะไรบ้าง อันที่จริงแล้วส่วนประกอบหลักของสุราก็คือ แอลกอฮอล์ หรือที่เรียกว่า “เอทานอล” ได้มาจากการหมักพืชที่มีแป้งหรือน้ำตาลสูง เช่น อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพด ข้าวสาล ข้าวบาร์เลย์ ฯลฯ จากนั้นจึงนำไปกลั่นเพื่อให้ได้เอทานอลที่บริสุทธิ์ มีความเข้มข้นสูง
แต่เอทานอลบริสุทธิ์นั้นไม่สามารถดื่มได้ เพราะมีรสเผ็ดร้อนและอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหารอย่างรุนแรง จึงต้องผสมสารปรุงแต่งอื่นๆ เช่น น้ำ น้ำตาล หรือคอนจีเนอร์ (Congeners) บนขวดสุรา ซึ่งมักจะมีการระบุ “ABV” หรือ Alcohol by Volume เอาไว้เพื่อบอกปริมาณแอลกอฮอล์ในขวด เช่น สุราที่มี ABV 40% หมายความว่า ในสุรา 100 มิลลิลิตร มีแอลกอฮอล์บริสุทธิ์อยู่ 40 มิลลิลิตร ยิ่ง ABV สูงก็ยิ่งแรง ผลกระทบจากการดื่มแอลกอฮอล์ก็จะยิ่งมาก ทำให้เมาง่าย และทำลายสุขภาพมากขึ้นด้วย
โทษของการดื่มสุรามีตั้งแต่ระดับเบาไปจนถึงขั้นรุนแรงที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะเมื่อดื่มสุราเข้าไป จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ดังนี้
สุรามีผลต่อระบบประสาทอย่างไร? ในระยะสั้น แอลกอฮอล์จะออกฤทธิ์กดสมองส่วนกลาง ทำให้เกิดอาการมึนงง ขาดสติ หลงลืมสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น ควบคุมตัวเองไม่ได้ การตัดสินใจช้าลง จึงมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุหรือทะเลาะวิวาทได้ ส่วนในระยะยาวจะทำให้การทำงานของสมองบกพร่อง เพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม รวมถึงปัญหาสุขภาพจิต เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล ประสาทหลอน
โทษของแอลกอฮอล์ต่อตับคือทำให้เกิดการสะสมของไขมันเพิ่มขึ้นในเซลล์ตับ ทำให้ตับอักเสบ มีอาการจุกแน่นที่บริเวณชายโครงด้านขวา เบื่ออาหาร น้ำหนักลด คลื่นไส้ อาเจียน หากยังดื่มหนักต่อไป ไม่บำบัดเลิกเหล้า จะนำไปสู่โรคตับแข็งและความดันในตับที่สูงขึ้น ส่งผลให้เส้นเลือดในทางเดินอาหารแตก มีเลือดออกในทางเดินอาหาร อาเจียนออกมาเป็นเลือด เสี่ยงต่อโรคมะเร็งตับ ตับวาย ถึงขั้นเสียชีวิต
ผลเสียของการดื่มแอลกอฮอล์ที่มีต่อหัวใจคือ ทำให้หัวใจเต้นเร็วและแรงขึ้น การบีบตัวของหัวใจผิดปกติ อีกทั้งยังทำให้หลอดเลือดแข็งและตีบตันง่าย หัวใจจึงต้องทำงานหนักเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย ส่งผลให้ความดันโลหิตสูง เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง นอกจากนี้การดื่มสุราหนักเป็นเวลานานยังทำให้กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอและมีโอกาสที่จะเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้อีกด้วย
กระบวนการย่อยสลายแอลกอฮอล์จะทำให้เกิดพิษต่อตับอ่อน เซลล์ตับอ่อนจะถูกทำลายกลายเป็นโรคตับอ่อนอักเสบ ซึ่งเป็นได้ทั้งแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง จะมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง มีไข้สูง คลื่นไส้ อาเจียน และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิต
แอลกอฮอล์มีผลกระทบต่อระบบย่อยอาหารอย่างไร? แอลกอฮอล์จะไปกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารคลายตัว กรดจากกระเพาะจึงไหลกลับไปที่หลอดอาหาร ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อน (GERD) หากเป็นบ่อยๆ อาจนำไปสู่ภาวะที่ร้ายแรงมากขึ้น เช่น ภาวะเยื่อบุหลอดอาหารเปลี่ยนสภาพ (Barrett’s esophagus) หรือมะเร็งหลอดอาหาร อีกทั้งปริมาณกรดในกระเพาะอาหารที่เพิ่มขึ้น ยังทำให้เกิดการระคายเคือง ปวด แสบร้อนในช่องท้องด้วย
ผู้ที่ดื่มสุราบ่อยหรือดื่มทุกวันมักเป็นไข้หวัดหรือโรคติดเชื้ออื่นๆ บ่อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่ม เพราะแอลกอฮอล์ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ร่างกายจึงไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีเท่าที่ควร นอกจากนี้โทษของสุรายังไปทำลายความสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ นำไปสู่ปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น ท้องเสีย ท้องร่วง ลำไส้แปรปรวน
โทษของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังกระทบไปถึงระบบต่อมไร้ท่อที่ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมน ทำให้ระดับฮอร์โมนเสียสมดุล เช่น ในผู้ชายระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนจะลดลง ทำให้อารมณ์แปรปรวน อ่อนเพลีย อ้วนง่าย เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ส่วนผู้หญิงจะส่งผลให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ มีบุตรยาก อาการช่วงที่เป็นประจำเดือนรุนแรงขึ้น หงุดหงิดง่าย นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ ท้องอืด และปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนที่มากกว่าปกติ ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งชนิดต่างๆ ทั้งมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และมะเร็งมดลูกอีกด้วย
หากถามว่าดื่มสุราจะเป็นโรคอะไร? คนส่วนใหญ่คงจะตอบว่าโรคตับ แต่อันที่จริงแล้วการกินเหล้ามากๆ ติดต่อกันนานๆ ไม่ได้เสี่ยงต่อการเป็นโรคตับเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคอื่นๆ อีกมากมาย ไปดูกันเลยว่าคนที่กินเหล้าเยอะเป็นโรคอะไรได้บ้าง
โรคตับแข็ง เกิดจากการที่ตับต้องทำงานหนักเพื่อกำจัดแอลกอฮอล์ปริมาณมากที่ดื่มเข้าไป บวกกับการสะสมของไขมันในตับ ทำให้เซลล์ตับได้รับความเสียหายและพยายามซ่อมแซมตัวเองด้วยการสร้างเนื้อเยื่อพังผืดขึ้นมาทดแทน จนมีสภาพที่เรียกว่า “ตับแข็ง” เมื่อเป็นแล้วจะรักษาไม่หาย แต่หากเลิกเหล้าได้ก่อนที่อาการจะพัฒนามาถึงระยะสุดท้าย ก็มีโอกาสที่ตับจะฟื้นตัวเป็นปกติ
โทษของการดื่มแอลกอฮอล์ยังทำให้มีโอกาสเป็นโรคมะเร็งตับมากกว่าคนทั่วไป เพราะในช่วงแรกที่ตับเริ่มผิดปกติจะไม่แสดงอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย หากไม่ได้ตรวจสุขภาพเป็นประจำก็จะไม่รู้ จนเมื่อเข้าสู่ภาวะตับแข็ง ส่วนใหญ่ก็จะพัฒนาไปเป็นมะเร็งตับในที่สุด โดยผลจากการติดตามผู้ป่วยตับแข็งระยะเริ่มต้นของสมาคมโรคตับแห่งประเทศไทยเป็นเวลา 5 ปี พบว่าอัตราการเกิดมะเร็งตับอยู่ที่ 2.6 % ต่อปี แต่หากหยุดดื่มแอลกอฮอล์ โอกาสเป็นมะเร็งตับจะลดลง 6 – 7 %
อีกหนึ่งโรคที่เกิดจากการดื่มสุราคือ โรคตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง ที่คล้ายกับโรคตับแข็ง คือเกิดจากการอักเสบซ้ำๆ จนมีการสร้างเนื้อเยื่อพังผืดในตับอ่อน หากเคยเป็นโรคตับอ่อนอักเสบแบบเฉียบพลันหลายครั้งและยังไม่หยุดดื่มเหล้า ความเสี่ยงที่จะกลายเป็นโรคเรื้อรังก็จะสูงขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องรุนแรง เป็นๆ หายๆ อุจจาระมีสีเทาหรือซีด และอาจพบไขมันปนออกมากับอุจจาระด้วย
โทษของการดื่มสุราเป็นสาเหตุของโรคหัวใจและหลอดเลือดหลายชนิด เช่น โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคความดันโลหิตสูง ทำให้หลอดเลือดอักเสบ เสื่อมสภาพ ตีบตัน เปราะแตก นำไปสู่การเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิตกะทันหัน บางคนอาจจะคิดว่าดื่มมานานแล้วคงแก้อะไรไม่ได้ แต่จริงๆ แล้วการหยุดดื่มสุราแค่ 6 เดือน หัวใจก็จะทำงานดีขึ้น และถ้าทำต่อเนื่องหัวใจก็จะกลับมาแข็งแรงได้ใน 2 – 4 ปี เพราะฉะนั้นหยุดดื่มตั้งแต่วันนี้จะเป็นวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้ดีที่สุด
รู้ถึงผลเสียของการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ต่อสุขภาพแบบนี้แล้ว ใครที่ดื่มหนักจัดเต็มทุกวัน ก็คงต้องพยายามลดปริมาณและความถี่ในการดื่มลง แต่หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการติดสุราเรื้อรัง ควบคุมการดื่มไม่ได้ หยุดดื่มแล้วกระวนกระวาย มือสั่น เหงื่อออก คลื่นไส้ อาเจียน หรือพยายามเลิกเหล้าหลายครั้งแต่ไม่ได้ผล ศูนย์ฟื้นฟูไลท์เฮ้าส์ สถานบำบัดเหล้ากรุงเทพที่มีประสบการณ์มากกว่า 35 ปี จะพาคุณผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปด้วยกัน สถานบำบัดสุราเรื้อรังของเรามีบุคลากรที่เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาและดูแลอย่างใกล้ชิด รวมถึงปรับวิธีการบำบัดให้เหมาะสำหรับแต่ละบุคคลโดยเฉพาะ เพื่อให้คุณกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีได้อีกครั้ง ติดต่อผู้เชี่ยวชาญของเราได้เลย
การดื่มแอลกอฮอล์หรือเสพสารเสพติดต่อเนื่องกันเป็นเวลานานจะส่งผลให้ร่างกายและสมองของคนเราเกิดการปรับตัวให้คุ้นเคยกับสารเหล่านี้จนเกิดความทนทาน ร่างกายและสมองก็จะต้องการปริมาณแอลกอฮอล์หรือเสพสารเสพติดมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพมากขึ้นไปอีก การลด ละ เลิก ตั้งแต่วันนี้จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่หลายคนคงจะกังวลที่ต้องเผชิญกับผลข้างเคียงอย่างเช่น อาการลงแดง ดังนั้นในบทความนี้จะพาไปหาคำตอบกันว่า อาการลงแดงเกิดจากอะไร อันตรายไหม และจะมีวิธีรับมืออย่างไรได้บ้าง ตามไปอ่านกันได้เลย
อาการลงแดงหรือ Withdrawal Symptoms คือ อาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นเมื่อหยุดใช้สารเสพติด เช่น แอลกอฮอล์ ยาเสพติด อย่างฉับพลัน เนื่องจากร่างกายคุ้นชินกับสารเสพติดที่ได้รับเป็นเวลานาน และเข้าใจว่าสภาวะที่ร่างกายถูกกระตุ้นด้วยสารเสพติดนั้นคือ สภาวะปกติ จึงเพิ่มหรือลดการผลิตสารสื่อประสาทบางชนิด ดังนั้น เมื่อขาดสารเสพติดไป สารสื่อประสาทในร่างกายจึงเสียสมดุล และทำให้เกิดอาการต่างๆ ตามมา
หากปกติดื่มเหล้าไม่มาก การเลิกเหล้าแบบหักดิบสามารถทำได้ โดยอาจมีอาการลงแดงแต่ไม่รุนแรง แต่หากเป็นนักดื่มตัวยงหรือดื่มเหล้าหนักมานานหลายปี ร่างกายจะปรับตัวไม่ทัน เพราะขาดสุราแบบกะทันหันนั่นเอง ซึ่งอาการของคนเลิกเหล้าแบบหักดิบจะมีตั้งแต่อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิด โมโหง่าย เครียด กระวนกระวาย หัวใจเต้นเร็ว ประสาทหลอน ไปจนถึงขั้นชักเกร็ง และอาจเสียชีวิตได้ บางคนหากทนกับอาการลงแดงไม่ไหว พอกลับไปดื่มอีกก็มักจะดื่มหนักกว่าเดิม เสี่ยงที่จะเกิดภาวะ “สุราเป็นพิษ” เฉียบพลัน และเสียชีวิตได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นหากต้องการเลิกเหล้าแบบหักดิบ จึงควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการรักษาอย่างถูกวิธี
หลายคนอาจสงสัยว่าอาการลงแดงเป็นอย่างไร ทรมานมากหรือไม่ ต้องบอกว่าลักษณะของอาการ ความรุนแรง และระยะเวลาที่เกิดอาการลงแดงนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของสารเสพติดที่ใช้ โดยจะส่งผลให้เกิดอาการทั้งทางร่างกายและจิตใจ ดังนี้
อาการคนลงแดงเหล้า จะเกิดขึ้นประมาณ 6 – 8 ชม. หลังการดื่มครั้งสุดท้าย โดยในช่วง 24 – 48 ชม. แรก ผู้ป่วยจะมีอาการมือสั่น ใจสั่น เหงื่อแตก หงุดหงิด กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูง คลื่นไส้ อาเจียน อาการเหล่านี้จะรุนแรงขึ้นในวันที่ 2 – 3 และจะค่อยๆ ทุเลาลงจนหายใน 5 – 7 วัน แต่ในรายที่มีอาการรุนแรงมาก อาจมีอาการชักร่วมกับอาการทางจิต เช่น ประสาทหลอน หูแว่ว ตื่นตระหนก หวาดระแวง หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
อาการลงแดงยา จะแตกต่างกันตามประเภทของยาที่ใช้ เช่น กลุ่มที่ใช้สารกระตุ้นประสาท ไม่ว่าจะเป็นยาบ้า ยาม้า ยาไอซ์ โคเคน ฯลฯ จะมีอาการง่วงซึม อ่อนเพลีย วิงเวียนศีรษะ และอาจนำไปสู่อาการซึมเศร้า ในขณะที่กลุ่มผู้ใช้สารกดประสาทอย่างฝิ่น เฮโรอีน ทรามาดอล จะมีอาการกระสับกระส่าย ชีพจรเต้นเร็ว ครั่นเนื้อครั่นตัว คลื่นไส้ อาเจียน ปวดเมื่อย ท้องเสีย ถ่ายเป็นเลือด ประสาทหลอน ระยะเวลาของอาการลงแดงยาเสพติดอาจนานหลายสัปดาห์ไปจนถึงหลายเดือน
อาการของคนลงแดงมีหลายระดับ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับทั่วไป ไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่จะรู้สึกทรมาน ไม่สบายตัว แต่สำหรับผู้ที่เสพยาหรือดื่มเหล้าจัดนาน 5 – 15 ปี จะมีอาการลงแดงที่รุนแรง ซับซ้อน และมีโอกาสสูงที่จะเกิดอาการชักเกร็ง รวมถึงภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ในกรณีที่ผู้ป่วยเกิดอาการเพ้อ หวาดกลัว ขาดสติ ก็อาจทำร้ายตัวเอง ทำร้ายผู้อื่น หรือวิ่งหนีเตลิดออกไปจนเกิดอุบัติเหตุได้
นอกจากนี้กลุ่มที่ต้องระวังเป็นพิเศษก็คือ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคตับอักเสบ ฯลฯ รวมถึงผู้ที่เคยมีอาการชักจากการขาดสุรา หรือเคยมีอาการลงแดงอย่างรุนแรง ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ควรได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิดด้วยเช่นกัน
การรับมือกับอาการลงแดงอย่างถูกวิธีเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดความรุนแรงของอาการ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้ดีและมีโอกาสเลิกเหล้าได้สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ จึงต้องอาศัยความเข้าใจและการดูแลที่เหมาะสม ดังนี้
กำลังใจมีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องเผชิญกับอาการลงแดงหรือความท้าทายในการปรับตัว อย่าอายที่จะบอกกับคนรอบข้างตรงๆ เปิดใจพูดคุย และขอความช่วยเหลือ เพราะการมีคนคอยอยู่เคียงข้าง ช่วยดูแล และเฝ้าระวังอาการต่างๆ จะทำให้รู้สึกอุ่นใจมากขึ้น อีกหนึ่งวิธีที่มีประสิทธิภาพคือการเข้าไปพบแพทย์ ทำการรักษาในสถานบำบัดที่มีคนคอยดูแล 24 ชม. จะยิ่งช่วยให้รับมือได้ดีขึ้น
ผู้ป่วยที่ติดเหล้ามานานจะมีปัญหาเรื่องการดูดซึมอาหาร ทำให้ร่างกายขาดวิตามินบางชนิด โดยเฉพาะวิตามินบี 1 วิตามินบี 12 และกรดโฟลิกที่จำเป็นต่อการทำงานของสมอง จึงควรทานอาหารที่มีประโยชน์ เลี่ยงอาหารไขมันสูง หรือทานวิตามินเสริม ในรายที่มีอาการมาก โดยแพทย์อาจให้วิตามินแบบฉีดแทน
อีกหนึ่งวิธีแก้อาการลงแดงสุราคือ การดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะจะช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย ชดเชยการสูญเสียน้ำจากเหงื่อ และบรรเทาอาการลงแดงได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการอาเจียน ท้องเสีย ต้องคอยระวังภาวะขาดน้ำเป็นพิเศษ
จัดสภาพแวดล้อมให้ปลอดโปร่ง เก็บขวดเหล้าให้ห่างไกลสายตา และจะดีกว่านั้นหากทิ้งมันไปให้หมดหรือขอให้คนรอบตัวช่วยกำจัดทิ้ง อย่าให้มีสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการดื่มเหล้าอยู่ใกล้ตัว เพราะการควบคุมความอยากในช่วงที่มีอาการลงแดงก็ยากพออยู่แล้ว ถ้ามีสิ่งยั่วยุมาวางล่อตาล่อใจก็อาจทำให้เลิกเหล้าไม่สำเร็จ
ผู้ป่วยที่มีอาการลงแดงรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาใช้วิธีแก้อาการลงแดงด้วยการให้ยาเพื่อบรรเทาอาการ เช่น โคลนิดีน (Clonidine), คลอร์ไดอาซีพอกไซด์ (Chlordiazepoxide), บูพรีนอร์ฟีน (Buprenorphine), ไดอะซีแพม (Diazepam), ลอราซีแพม (Lorazepam), เมทาโดน (Methadone) เป็นต้น
ทำอารมณ์ให้ผ่อนคลาย พยายามเบี่ยงเบนความสนใจด้วยการทำกิจกรรมที่ตนเองชื่นชอบ หรือหันไปโฟกัสอย่างอื่นแทน เช่น ดูหนัง วาดภาพ อ่านหนังสือ เล่นดนตรี เล่นเกม เล่นโยคะ รวมถึงการออกกำลังกาย ที่นอกจากจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังช่วยให้สมองปลอดโปร่ง จิตใจสดชื่นเบิกบานอีกด้วย
นอกจากการดูแลทางร่างกาย จิตใจก็สำคัญไม่แพ้กัน ผู้ป่วยจำเป็นจะต้องได้รับการฟื้นฟูจิตใจ รวมถึงปรับพฤติกรรม ทัศนคติ และกระบวนการคิด เพื่อสร้างความมั่นใจ และลดความเสี่ยงที่จะกลับไปใช้สารเสพติดในอนาคต โดยอาจจะมีการพูดคุยกับจิตแพทย์หรือทำกิจกรรมแบบกลุ่มนั่นเอง
การป้องกันอาการลงแดงที่ดีที่สุดคือ การป้องกันที่ต้นเหตุ พยายามหลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นให้ต้องดื่มแอลกอฮอล์ หรือควรควบคุมปริมาณการดื่มให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และไม่ควรดื่มเหล้ามากกว่า 5 วันต่อสัปดาห์
สำหรับผู้ที่ติดสุราเรื้อรังและต้องการเลิกเหล้า สามารถป้องกันอาการลงแดงได้ด้วยการลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ร่างกายมีเวลาปรับตัว โดยค่อยๆ ลดปริมาณการดื่มลงทีละน้อย และดื่มอย่างช้าๆ ปริมาณน้อยกว่า 1 แก้วต่อชั่วโมง และทิ้งช่วงสลับกับการดื่มน้ำเปล่า
การเลิกเหล้าด้วยตัวเองสามารถทำได้ แต่มีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายหรือเลิกได้ไม่สำเร็จ และกลับไปดื่มในปริมาณที่มากกว่าเดิม ดังนั้นหากตัดสินใจเลิกแบบเด็ดขาดแล้ว ควรเข้ารับการรักษาในสถานบำบัดอย่างถูกวิธี อย่างเช่นที่ ศูนย์ฟื้นฟูไลท์เฮ้าส์ เราเป็นทั้งศูนย์บำบัดคนติดสุรา กรุงเทพ และสถานที่บำบัดยาเสพติดในกรุงเทพ มีบุคลากรที่เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาแก่ผู้ที่ต้องการเลิกเหล้าและเลิกยาเสพติด ยิ่งไปกว่านั้น เรายังมีการวางแผนการรักษาด้วยโปรแกรมบำบัดแบบเฉพาะบุคคล พร้อมเจ้าหน้าที่ดูแลตลอด 24 ชม. จึงอุ่นใจได้เลยว่าคุณหรือคนที่คุณรักจะได้รับการดูแลอย่างดีเสมือนคนในครอบครัว
ปัญหายาเสพติดยังคงเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับหลายครอบครัวในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการรับมือและการสังเกตอาการของผู้ติดสารเสพติด การเข้าใจว่าเมื่อใดที่ผู้ติดยาควรได้รับการบำบัดอย่างเร่งด่วนนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากในปัจจุบัน ผู้ติดยาเสพติดถูกจัดให้เป็นผู้ป่วยที่ต้องการการรักษาและฟื้นฟู เพื่อให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข วันนี้เราจะขอนำเสนอเทคนิคในการจำแนกอาการของผู้ติดยาเสพติด พร้อมทั้งแนะนำว่าอาการในระดับใดที่บ่งชี้ว่าควรเข้ารับการบำบัดโดยเร่งด่วน ซึ่งจะช่วยให้ครอบครัวและผู้ใกล้ชิดสามารถตัดสินใจได้ว่าเมื่อไหร่ที่ผู้ติดยาเสพติดควรเข้ารับการบำบัดในสถานบำบัดยาเสพติดนั่นเอง
เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ปัจจุบัน ยังไม่มีการจำแนกระดับอาการของคนติดยาเอาไว้อย่างชัดเจน แต่ก็มีเทคนิคที่สามารถใช้แบ่งระดับของคนติดยาได้จากพฤติกรรมการใช้ยา ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ระดับ ดังนี้
การทดลองใช้เป็นช่วงริเริ่มใช้ชาในครั้งแรก ๆ ส่วนมากเกิดจากความอยากรู้อยากลองด้วยความคึกคะนอง หรืออาจเกิดจากการขาดสติจากอาการมึนเมา โดยผู้ที่เริ่มต้นเสพยามักจะมาพร้อมกับความคิดที่ว่า แค่ลองเฉย ๆ ไม่ติดหรอก ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ มีผู้ที่ชีวิตต้องพังเพราะความคิดนี้มาแล้วนับไม่ถ้วน
ในระดับนี้ความถี่ของการใช้ยาเสพติดจะเริ่มเพิ่มขึ้นจากเดิม แต่วัตถุประสงค์การใช้ยังคงเป็นการใช้เพื่อความบันเทิง ยังไม่ได้รู้สึกว่าเสพติดจนขาดไม่ได้ และมีแนวโน้มที่คนใกล้ตัวก็จะมีพฤติกรรมใช้ยาเสพติดเหมือน ๆ กัน ทำให้เกิดการชักชวนเสพสารเสพติด ระหว่างการสังสรรค์ เพราะคิดว่าเป็นการพักผ่อนหย่อนใจร่วมกับกลุ่มเพื่อน
เมื่อผ่านการใช้ยามาสักระยะ ก็จะเริ่มแสดงออกถึงอาการของผู้ติดสารเสพติด ซึ่งอาการที่พบจะเริ่มส่งผลโดยตรงกับการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเรื่องของหน้าที่การงานและความสัมพันธ์กับคนโดยรอบ ความรับผิดชอบจะลดน้อยลง ยาเสพติดจะเริ่มมีบทบาทต่อการใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้น สุขภาพร่างกายจะค่อย ๆ ถดถอยในช่วงระยะนี้
นับว่าเป็นการเทิร์นโปรด้านการติดยาเสพติดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในตอนนี้ร่างกายจะมีความต้องการยามากกว่าเดิม จากที่เสพเพียงแค่ความบันเทิง จะเปลี่ยนไปเป็นเสพเพราะความต้องการและร่างกายจะเริ่มมีอาการดื้อยา ทำให้ความสุขที่ได้จากการเสพลดน้อยลง จนต้องเพิ่มปริมาณยาให้มากขึ้นไปเรื่อย ๆ ซึ่งในระยะนี้จะทำให้ผู้เสพเริ่มมีอาการทางจิตอ่อน ๆ เพราะความอยากยา จนคนรอบข้างเริ่มสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน
ถือว่านี่คือขั้นวิกฤติของอาการติดยาเสพติด เนื่องจากในตอนนี้ผู้เสพจะขาดความคิดผิดชอบชั่วดี วัตถุประสงค์ของการใช้ชีวิตมีเพียงอย่างเดียวคือต้องเสพยาเท่านั้น ไม่สามารถควบคุมความต้องการอยากยาได้อีกต่อไป แม้จะรู้ว่ามีผลเสียมากเพียงใด แต่ก็ยังจำเป็นต้องใช้ยาเพื่อลดความทรมานจากการอยากยา เมื่อปล่อยให้ล่วงเลยมาถึงระดับนี้ จะมีอันตรายสูงมากทั้งต่อตัวผู้เสพและคนใกล้ตัวโดยรอบ
จากเนื้อหาเมื่อสักครู่ ที่เราได้แบ่งอาการของคนติดยาเสพติดออกเป็น 5 ระดับ นอกจากการใช้พฤติกรรมการใช้ยาเป็นเกณฑ์วัดแล้ว ยังสามารถใช้หลักเกณฑ์อื่น ๆ เพื่อประเมินระดับอาการของผู้ติดยาได้อีกหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น
ทั้งปริมาณและความถี่ของการใช้ยาล้วนสามารถนำมาใช้แบ่งระดับของผู้ติดยาได้ทั้งสิ้น ในช่วงแรกคนที่เริ่มใช้ยามักจะใช้เป็นครั้งคราวจากการเข้าสังคมที่มีพฤติกรรมเสพยาเป็นเรื่องปกติ ทุกครั้งเมื่อเจอกับคนกลุ่มนั้น ๆ ก็จะมีการใช้ยาสักครั้ง เพราะยังไม่รู้แหล่งซื้อขายยาโดยตรง แต่เมื่อเริ่มมีความต้องการมากขึ้น ก็จะเริ่มเพิ่มปริมาณยา และเริ่มหาลู่ทางเพื่อให้ได้มาเพื่อยาเสพติด สุดท้ายแล้วความถี่และปริมาณของการใช้ยาก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนยากจะควบคุม
หลังจากเริ่มใช้ยามาสักระยะ ผู้เสพก็จะเริ่มมีอาการเริ่มต้นของคนเสพยา นั่นก็คือการเก็บตัวอยู่เพียงลำพัง เริ่มหมกมุ่นอยู่กับความสุขจอมปลอมจากฤทธิ์ของยาเสพติด ปฏิสัมพันธ์กับคนรอบตัวก็จะน้อยลง หรือไม่ก็จะอยู่กับแค่สังคมที่ร่วมเสพยาด้วยกันเท่านั้น หากอาการรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จะมีผลกระทบต่อหน้าที่การงานหรือการเรียน จากความรับผิดชอบที่ถดถอย จนยากที่จะใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้
เมื่อผู้ใช้ยาถลำลึกไปเรื่อย ๆ ความสุขจากการใช้ยาที่เคยมีก็จะเริ่มน้อยลง จนต้องเพิ่มปริมาณให้มากขึ้น สุดท้ายแล้วก็จะเกิดอาการติดยา และเมื่อรู้ตัวก็สายเกินไปแล้ว เพราะผู้ที่เสพยาก็จะเริ่มมีอาการอยากยาหรือภาวะสมองติดยา ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการทางจิตที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสารสื่อประสาท ส่งผลให้ผู้เสพมีอาการหมกมุ่น นึกถึงแต่การเสพยาอยู่ตลอด ยิ่งใช้ยาเป็นระยะเวลานานเท่าไหร่ อาการอยากยาก็จะเพิ่มมากขึ้น จนกลายเป็นอาการคลุ้มคลั่งจากยาเสพติดอย่างที่เราเห็นกันในข่าวอยู่บ่อย ๆ นั่นเอง
ในข้อสงสัยที่ว่า อาการของคนเสพยาระดับไหนควรเข้ารับการบำบัดโดยเร็วที่สุด หากแบ่งตามระดับในบทความนี้ ก็จะเริ่มเป็นในระยะที่ 3 และ 4 ซึ่งจะเป็นช่วงที่เริ่มใช้ยามากขึ้น จากเป็นครั้งเป็นคราวเริ่มเป็นการใช้เป็นประจำ โดยอาการที่แสดงออกก็จะมีดังต่อไปนี้
เมื่อต้องการเลิกขาดจริง ๆ ไม่ว่าจะติดยาในระดับไหนก็ตาม หากมีความต้องการแน่วแน่ที่จะเลิกขาดจากยาเสพติด สามารถเข้ารับการบำบัดได้ทั้งสิ้น ยิ่งเริ่มเร็วเท่าไหร่ โอกาสที่จะเลิกขาดยิ่งมากเท่านั้นเหตุผลที่ทำให้คนติดยาถึงเลิกไม่ได้สักที ส่วนมากเกิดจากการอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม ๆ ซึ่งมักจะมีสิ่งยั่วยุให้กลับไปเสพยาอีกครั้งอยู่มากมาย และการเลิกยานั้นก็ทำได้ยากมาก หากขาดความรู้ความเข้าใจ แม้จะมีหลาย ๆ คนที่สามารถเลิกยาด้วยการหักดิบ แต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ซึ่งการบำบัดกับสถานบำบัดยาเสพติดชั้นนำอย่าง Lighthouse คือตัวเลือกที่ดีมากกว่าการหักดิบด้วยตนเอง เพราะที่ Lighthouse เรามีผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำแนะนำและมีบริการเพื่อการบำบัดอย่างใกล้ชิด ทำให้สามารถดูแลผู้ป่วยจากอาการติดยาเสพติดได้ตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยวิธีการรักษาแบบ Dual Diagnosis ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากล จึงช่วยบรรเทาความทรมานจากอาการถอนพิษยาเสพติดไปพร้อม ๆ กับการฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย และจิตใจ ด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้า ทีมของเราพร้อมจะอยู่เคียงข้างผู้ป่วย จนสามารถกลับคืนสู่สังคมได้อีกครั้ง
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของคนทั่วโลกกว่า 3 ล้านคน และ ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวในประเทศไทยกว่า 50% มีสาเหตุเกิดจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หากไม่รีบเลิกเหล้าและปล่อยให้ระยะเวลาล่วงเลยไป โอกาสที่คุณจะกลับมามีความสุขโดยปราศจากเหล้าและมีสุขภาพแข็งแรงก็จะลดน้อยลงไปทุกที บทความนี้เราจะพาทุกคนมาเรียนรู้เทคนิคการเลิกเหล้า ด้วย 10 วิธีที่ทำให้คุณเลิกขาดจากเหล้าอย่างเด็ดขาด โดยไม่หันหลังกลับไปมองมันอีก
หากคุณอยากเลิกเหล้าแบบเด็ดขาด ก่อนอื่นเราอยากให้คุณประเมินตนเองเสียก่อนว่าตอนนี้คุณมีอาการติดเหล้ามากน้อยเพียงใด เนื่องจากการติดเหล้าในแต่ละคนจะมีอาการแสดงออกแตกต่างกัน หากอยู่ในเกณฑ์ที่ดีก็อาจเป็นเพียงความอยากดื่มเพื่อสังสรรค์ เพียงเพื่อความสนุกสนาน ทว่าในผู้ที่มีอาการติดเหล้าเรื้อรัง การดื่มเหล้าอาจเป็นการดื่มเพื่อเติมเต็มความอยาก หากไม่ได้ดื่มเหล้าก็จะทำให้มีอาการผิดปกติกับร่างกาย เช่น ครั่นเนื้อครั่นตัว เหงื่อออก มือไม้สั่น คลื่นไส้ รู้สึกเหมือนไม่สบาย และสูญเสียความควบคุมทางด้านอารมณ์อย่างสิ้นเชิง
สาเหตุของอาการที่เรากล่าวไปข้างต้นเกิดจากการดื่มเหล้าเป็นประจำ ส่งผลโดยตรงต่อระบบประสาท ทำให้สารสื่อประสาทบางชนิดทำงานผิดปกติ จึงทำให้เกิดอาการ เหงื่อออก มือไม้สั่น ยิ่งไปกว่านั้น การดื่มสุรายังทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารเกิดความระคายเคือง ที่น่ากลัวคือในผู้ที่ติดสุราเรื้อรังจะมีปัญหาด้านเคมีในสมอง ทำให้เกิดอาการทางจิต อารมณ์รุนแรง ควบคุมตนเองไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าการติดเหล้านั้นไม่ได้ต่างอะไรจากการติดยาเสพติด ฉะนั้น หากเข้าใจถึงความน่ากลัวของอาการติดเหล้าแล้ว มาดู 10 วิธีเลิกเหล้าที่เรานำมาฝากกันได้เลย
สำหรับ 10 วิธีเลิกเหล้าที่เรานำมาฝาก จะแบ่งเป็น 6 วิธีการเลิกเหล้าด้วยตนเองอย่างปลอดภัย และ 4 การบำบัดด้วยศาสตร์การแพทย์ ต่อจากนี้เราจะขอเริ่มจากการแนะนำเทคนิคการเลิกเหล้าด้วยตนเอง ซึ่งจะไม่ขอกล่าวถึงวิธีเลิกเหล้าแบบหักดิบ ถึงจะเป็นวิธีที่เห็นผลดีสำหรับผู้ที่ไม่ได้มีอาการติดเหล้ารุนแรง ทว่าในผู้ติดเหล้าเรื้อรัง การเลิกด้วยวิธีนี้อันตรายเป็นอย่างมาก อาจทำให้ลงแดงจนถึงแก่ชีวิตได้ โดยวิธีการเลิกเหล้าด้วยตนเองมีดังต่อไปนี้
วิธีเลิกเหล้าที่ดีที่สุดคือการสร้างแรงจูงใจ เริ่มต้นจากการเรียนรู้โทษของการดื่มเหล้า พร้อมมองหาประโยชน์ที่จะได้รับจากการเลิกเหล้าของตนเอง เช่น ทำให้มีเงินเก็บ ทำให้ครอบครัวมีความสุข และทำให้สุขภาพแข็งแรง จากนั้นจึงวางเป้าหมายที่เจาะจง มีกรอบเวลาชัดเจนแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น กินเหล้าเดือนละไม่เกิน 1 ครั้ง งดเหล้าแบบเด็ดขาดเป็นระยะเวลา 1 เดือน งดเหล้าเด็ดขาดเป็นระยะเวลา 3 เดือน เป็นต้น
จากข้อมูลเชิงสถิติเผยให้เราได้เห็นว่าคนส่วนมากที่เริ่มดื่มเหล้า เกิดจากการชักชวนของคนรอบตัว ซึ่งเกิดจากการนำตนเองเข้าไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยง เพราะฉะนั้นหากอยากจะเลิกเหล้าควรออกห่างจากปัจจัยเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการสังสรรค์ที่มีการดื่มเหล้าเป็นกิจกรรมหลัก กลุ่มเพื่อนที่มักจะชักชวนให้ดื่มเหล้า และกำจัดปัจจัยเสี่ยงภายในบ้านให้ได้มากที่สุด
ในการเลิกเหล้า สิ่งที่จำเป็นมากที่สุดคือการอยู่กับตนเอง เพราะรอบกายเรานั้นเต็มไปด้วยสิ่งยั่วยวนที่พร้อมจะทำให้เรากลับไปดื่มอีกครั้งได้ทุกเมื่อ ยิ่งเป็นช่วงแรกที่เพิ่งเริ่มเลิกเหล้า ยิ่งต้องเคร่งครัดกับตัวเองเป็นพิเศษและควรจัดการสภาพแวดล้อมรอบกายให้เหมาะสมมากที่สุด สิ่งที่เคยใช้เพื่อดื่มเหล้าเป็นประจำ ก็ควรเก็บให้พ้นสายตา โดยเฉพาะขวดเหล้าหรืออุปกรณ์ที่ใช้ดื่มเหล้าเป็นประจำภายในบ้าน
การเลิกเหล้าที่ดีไม่ควรจดจ่ออยู่กับแค่การมองหาวิธีไม่ให้อยากเหล้า แต่ควรมองหาวิธีทำให้เบื่อเหล้า โดยส่วนมากผู้ที่เลิกเหล้าสำเร็จ มักจะหากิจกรรมอย่างอื่นมาทำแทนการดื่มเหล้า เช่น การเล่นกีฬา การหางานอดิเรกใหม่ ๆ หรือการท่องเที่ยวในสถานที่ปลอดเหล้า เป็นต้น
วิธีเลิกเหล้าแบบถาวร สิ่งที่ขาดไปไม่ได้คือความร่วมมือจากคนใกล้ตัว นอกจากจะไม่ชักชวนให้กลับไปดื่มอีก คนรอบตัวก็ควรต้องเข้าใจว่าสาเหตุที่ไม่ออกไปร่วมสังสรรค์เป็นเพราะต้องการที่จะเลิกเหล้า และที่สำคัญคือการคอยให้กำลังใจ เนื่องจากการเลิกเหล้าช่วงแรกนั้นทรมานอยู่พอสมควร หากไม่มีกำลังใจจากคนใกล้ตัว ก็มีแนวโน้มสูงมากที่จะกลับไปดื่มอีกครั้ง
เทคนิคสุดท้ายเป็นเรื่องของจิตใจล้วน ๆ หากต้องการจะเลิกเหล้าให้เด็ดขาดใจต้องแน่วแน่ อดทนและอดกลั้นต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ ที่มีอยู่รอบกาย พร้อมกับคาดหวังถึงผลลัพธ์ในระยะยาว อย่าเลิกเพียงแค่ประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น ในเทคนิคนี้ต้องเข้าใจถึงแนวทางการป้องกันการดื่มสุรา ซึ่งอาจจะต้องได้รับความรู้ที่ดีในระดับหนึ่ง และอย่าลืมหมั่นให้รางวัลตนเอง เป็นเหมือนการ Check Point ตลอดเส้นทางของการเลิกเหล้า
หากรู้สึกว่าตอนนี้ติดเหล้าในเกณฑ์ที่รุนแรง จนอาจทำให้ 6 วิธีเลิกเหล้าเด็ดขาดด้วยตนเองข้างต้นไม่ได้ผล อาจต้องใช้วิธีการบำบัดทางการแพทย์เข้าช่วย ซึ่งควรเข้ารับการบำบัดที่คลินิกเลิกสุราที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเท่านั้น เนื่องจากจะต้องประเมินอาการผิดปกติจากการใช้แอลกอฮอล์ (AUD) เพื่อหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมของแต่ละคนด้วย ซึ่งส่วนมากแล้วจะใช้ 4 วิธีดังต่อไปนี้
การล้างพิษจากสุรา (Detox) บ้างก็เรียกว่า การถอนพิษสุรา เป็นเทคนิคเริ่มแรกที่คลินิกเลิกสุราทั่วโลกต่างก็ทำเหมือน ๆ กัน เพื่อเป็นการปรับสภาพร่างกายให้พร้อม ต่อการเลิกเหล้า ทำได้โดยการดื่มน้ำให้มากเข้าไว้ รับวิตามินเสริม และสารอาหารที่จำเป็นต่อการปรับสภาพร่างกาย
หลังจากเตรียมร่างกายจนพร้อมแล้ว ในขั้นตอนต่อมาจะเป็นการบำบัดด้วยยา โดยตัวยาที่สถานบำบัดสุราเรื้อรังนิยมใช้ก็จะเป็น Naltrexone, Disulfiram และ Acamprosate ซึ่งจะช่วยออกฤทธิ์ลดอาการอยากดื่มเหล้า และช่วยปรับสมดุลให้สารเคมีในสมองไม่เกิดอาการแทรกซ้อนระหว่างการเลิกเหล้า คำเตือนคือ ยาแต่ละชนิดล้วนเป็นยาควบคุมพิเศษ ไม่ควรหาทานเองโดยเด็ดขาด
การที่จะบำบัดเลิกเหล้าให้เห็นผลดีที่สุด ไม่สามารถปรับเฉพาะร่างกายได้ ในส่วนของจิตใจเองก็ควรต้องบำบัดเช่นกัน ในกรณีของผู้ที่ติดเหล้ารุนแรง ระหว่างการบำบัดควรจะต้องได้รับคำปรึกษาจากจิตแพทย์และเข้ารับกระบวนการบำบัดพฤติกรรม ซึ่งจะเป็นการใช้หลักจิตวิทยาเข้าช่วยทั้งในด้านของการเพิ่มแรงจูงใจ เรียนรู้กลไกรับมืออาการอยากเหล้า และปรับระเบียบแนวคิดที่อาจผิดเพี้ยนจากการติดเหล้าให้กลับมาเข้ารูปเข้ารอย เป็นต้น
การวินิจฉัยแบบบูรณาการ (Dual Diagnosis) เป็นกระบวนการบำบัดเลิกเหล้าที่ทั่วโลกให้การยอมรับ เพราะนอกจากจะเป็นการบำบัดให้เลิกเหล้า ยังมาพร้อมกับการรักษาโรคที่เกิดขึ้นจากการดื่มเหล้าเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นโรคที่เกิดกับสภาวะจิตใจ หรือ โรคที่เกิดขึ้นกับร่างกาย เพื่อให้ผู้ที่เข้ารับการบำบัดสามารถกลับคืนสู่สังคมอย่างสมบูรณ์มากที่สุด
เราขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่กำลังมีความคิดที่อยากจะเลิกเหล้า แม้มันจะเลิกได้ยาก แต่เรามั่นใจว่าคุณเองก็ทำได้ สำหรับใครที่ต้องการคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ หรือกำลังสงสัยว่าจะบำบัดเลิกเหล้าได้ที่ไหนดี เราขอแนะนำให้คุณได้รู้จักกับ Lighthouse สถานบำบัดเหล้าในย่านชานเมืองกรุงเทพ ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบ พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญจากศาสตร์ต่าง ๆ ให้การดูแลด้วยโปรแกรมบำบัดเฉพาะบุคคลตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมเก็บข้อมูลของผู้เข้ารับการบำบัดทุกคนเอาไว้เป็นความลับ หากคุณต้องการที่จะเลิกเหล้าหรืออยากพาคนที่คุณรักมาเลิกเหล้าหรือยาเสพติด สามารถติดต่อผู้เชี่ยวชาญของเราได้เลยวันนี้
รู้หรือไม่? ยาเสพติดคร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกไปแล้วมากกว่า 4 เท่าของการฆาตกรรม ดังนั้นถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะพาคนที่เรารักออกห่างจากยาเสพติดอันเลวร้ายเหล่านี้ แต่จะพูดคุยกับพวกเขาอย่างไรดีให้พวกเขาเข้ารับการบำบัดยาเสพติด เพราะไม่ว่าผู้ที่ติดยาเสพติดจะเป็นเพื่อน ญาติพี่น้อง หรือคนในครอบครัวที่ผูกพันมากเพียงใด หลังจากตกอยู่ในการควบคุมของยาเสพติด คนที่คุณคุ้นเคยก็แทบจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ดังนั้นวิธีพาคนไปบำบัดยาเสพติดด้วยการพูดคุยนั้นจึงอาจทำได้ยาก เพราะวิธีการพูดคุยแบบทั่วไปนั้นไม่ค่อยจะเห็นผลมากนัก บางครั้งอาจทำให้เกิดอาการเตลิดหรือกระตุ้นให้ผู้ติดยาเสพติดสร้างความรุนแรงได้ คุณจึงจำเป็นต้องศึกษาวิธีการพูดโน้มน้าวใจเพื่อกล่อมให้เข้ารับการบำบัดโดยสมัครใจ
บทความนี้เราจึงอยากแนะนำวิธีพาคนไปบำบัดยาเสพติดด้วยการโน้มน้าวใจ เป็นวิธีที่จะทำให้คนใกล้ตัวของคุณเข้ารับการบำบัดโดยที่ไม่รู้สึกเหมือนถูกผลักไสไล่ส่ง และไม่รู้สึกว่ากำลังเผชิญปัญหาอยู่ตัวคนเดียว มาร่วมศึกษาไปด้วยกันเลย
เราขอยกตัวอย่าง 5 วิธีการพูดโน้มน้าวใจเรื่องยาเสพติดกับคนใกล้ตัวของคุณที่มีปัญหาติดยาเสพติดหรือแอลกอฮอล์ด้วยเทคนิคดังต่อไปนี้ แต่อย่าลืมว่าก่อนที่คุณจะเข้าไปพูดโน้มน้าวใจ คุณควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการบำบัดยาเสพติดเสียก่อน เพื่อให้สามารถตอบคำถามและยกตัวอย่างผลดีที่ได้รับจากการบำบัดให้แก่ผู้ที่ติดยาเสพติดได้
วิธีแรกเลยในการพูดกับคนติดยาเสพติดคือเราไม่ควรใช้ถ้อยคำที่มาจากความโกรธโดยเด็ดขาด แม้เราอาจจะผ่านสถานการณ์อันแสนเลวร้ายมาก็ตาม การพูดคุยกับผู้ติดยาเสพติดคือการแสดงออกถึงความปรารถนาดี ไม่ใช่การผลักไส คุณต้องค่อย ๆ อธิบายถึงผลเสียจากยาเสพติดและผลกระทบที่เกิดขึ้นหากไม่เข้ารับการรักษา พร้อมกับเตือนใจตนเองอยู่เสมอว่าเขาไม่ได้เป็นคนติดยา แต่เขาคือผู้ป่วยที่ต้องได้รับการรักษา
คำต้องห้ามในการโน้มน้าวใจให้ผู้ป่วยเข้ารับการบำบัดคือการตีตราว่าการที่เขาติดยาเสพติดนั้นเป็นสิ่งที่ผิด เพราะถ้อยคำเหล่านั้นจะยิ่งสร้างกำแพงในจิตใจจนทำให้การโน้มน้าวใจยากที่จะประสบผลสำเร็จ ฉะนั้นเราต้องพยายามยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น และค่อย ๆ นำเสนอวิธีฟื้นฟูผู้ติดสารเสพติดให้กับเขาอย่างละมุนละม่อม
การเลิกยานั้นเต็มไปด้วยความทรมาน บางครั้งผู้ที่ติดยาเสพติดอาจพยายามเลิกด้วยตนเองแล้ว แต่ไม่เป็นผล และกลับไปเข้าสู่วงจรการเสพเช่นเดิม เพราะฉะนั้นการพูดคุยเพื่อพาผู้ติดยาเสพติดไปบำบัด ต้องทำให้เขาได้รู้ว่าเขาไม่ได้สู้อยู่เพียงลำพัง ยังมีคนรอบข้างที่พร้อมอยู่เคียงข้างเขาเสมอ ในขณะเดียวกันก็พยายามบอกเขาว่าการที่เขาติดยาเสพติดทำให้คุณรู้สึกอย่างไร ทำให้คุณเสียใจแค่ไหน เพื่อให้เขาเข้าใจคุณมากขึ้น
สถานที่ จังหวะ และเวลา ก็เป็นส่วนสำคัญต่อการโน้มน้าวใจเป็นอย่างมาก ไม่ใช่ว่าเราอยากจะพูดตอนไหนก็พูดได้เลย เพราะสภาพจิตใจของผู้ที่ติดยาเสพติดไม่ค่อยจะมั่นคงสักเท่าไหร่ ดังนั้นเราต้องรอในจังหวะที่เราพร้อมมากที่สุด ในสถานที่ซึ่งสามารถพูดคุยได้อย่างตรงไปตรงมา ไม่มีสิ่งเร้าที่ขัดการสนทนา จากนั้นก็ค่อย ๆ แนะนำให้เขาเข้ารับการบำบัด พร้อมอธิบายถึงวิธีบำบัดผู้ติดสารเสพติดให้กับเขาฟังทีละนิด ๆ จนกว่าเขาจะเปิดใจ
การโน้มน้าวเขาบ่อย ๆ เป็นส่วนสำคัญของเทคนิคการสื่อสารเพื่อการบำบัด การพูดคุยเพียงหนึ่งครั้งอาจไม่สามารถเปลี่ยนใจเขาได้ เพราะฉะนั้นอย่าเบื่อที่จะเริ่มต้นครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ครั้งที่ 4 ไปอีกเรื่อย ๆ เพราะเทคนิคนี้เป็นการแสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใย และแสดงเจตจำนงอันแน่วแน่ของคุณให้เขาได้เห็นว่าเราอยากให้เขาเลิกขาดจากยาเสพติดมากแค่ไหน แม้จะถูกปฏิเสธไปแล้วก็ตาม
เมื่อเราได้เข้าใจเกี่ยวกับเทคนิคการพูดโน้มน้าวเพื่อให้ผู้ป่วยยอมรับที่จะเข้ารับการรักษาแล้ว ต่อมาก็จะเป็นวิธีการพาคนไปบำบัดยาเสพติด ซึ่งขั้นตอนหลัก ๆ มีดังต่อไปนี้
เมื่อผู้ติดยาเสพติดตัดสินใจที่จะเข้ารับการบำบัดแล้ว สิ่งต่อมาที่คุณควรต้องตัดสินใจ คือเลือกว่าจะเข้าบำบัดกับสถานบำบัดที่ไหนดี โดยการเลือกนั้นจะต้องประเมินจากปัจจัยหลาย ๆ อย่าง อาทิ ความสะดวกของการเดินทาง งบประมาณที่มีเพื่อการรักษา เทคนิคหรือวิธีบำบัดรักษาผู้ติดสารเสพติดและความน่าเชื่อถือของสถานบำบัด คุณควรเลือกสถานบำบัดผู้ติดยาเสพติดให้เหมาะสมกับอาการของผู้ป่วย รวมถึงหาข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการบำบัดของสถานบำบัดนั้นด้วย
หลังจากเลือกได้แล้วว่าต้องการบำบัดที่ไหน คุณต้องประเมินอาการของผู้เข้ารับการบำบัดเสียก่อน เพราะผู้ติดยาเสพติดมักจะมีปัญหาแทรกซ้อน ทั้งเรื่องของสุขภาพร่างกาย และสุขภาพจิต เพื่อให้สถานบำบัดสามารถประเมินอาการและวางแผนวิธีการฟื้นฟูผู้ติดสารเสพติดได้อย่างตรงจุดมากที่สุด
กระบวนการสุดท้ายคือการนำส่งผู้ป่วยเข้ารับการบำบัดตามวันเวลาที่นัดเอาไว้ ในกรณีที่เป็นสถานบำบัดแบบกินนอน ในช่วงแรกของการบำบัดญาติจะยังไม่สามารถเข้าเยี่ยมได้ โดยส่วนใหญ่แล้ว ญาติจะสามารถเข้ามาเยี่ยมได้หลังจากผ่านการบำบัดไปแล้วประมาณ 50% จากโปรแกรมทั้งหมด
หลังจากคุณเข้าใจถึงวิธีพาคนไปบำบัดยาเสพติดเรียบร้อยแล้ว ก็ยังมีในส่วนของขั้นตอนการเตรียมตัวอีกเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะช่วยให้คุณพร้อมเมื่อถึงเวลาการเข้ารับบำบัด ทุกอย่างจะราบรื่นไม่มีข้อติดขัดมากวนใจ เพียงคุณเตรียมพร้อมในสิ่งเหล่านี้เท่านั้น
สำหรับผู้ที่กำลังทนทุกข์ทรมานจากการติดยาเสพติดของคนข้างกาย อย่าปล่อยให้เขาอยู่ในช่วงเวลาที่ตกต่ำที่สุดเพียงลำพัง เพราะในวันหนึ่งอาจจะสายเกินไปที่จะฉุดเขากลับมาได้ ดังนั้นคุณควรเริ่มต้นเสียตั้งแต่ตอนนี้ หากคุณกำลังมองหาสถานบำบัดและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด ขอแนะนำให้คุณพาคนที่คุณรักเข้ามาบำบัดที่ Lighthouse สถานบำบัดและฟื้นฟูผู้ที่ติดยาเสพติดที่ตั้งอยู่ย่านชานเมืองของกรุงเทพ เราได้นำเอาหลักการบำบัดจากอเมริกามาปรับใช้กับผู้ป่วยในประเทศไทย ด้วยโปรแกรมบำบัดแบบตัวต่อตัวและดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้เชี่ยวชาญตลอด 24 ชั่วโมง มั่นใจได้ว่าคุณจะได้คนที่คุณรักกลับคืนมาอย่างแน่นอน
ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัย ยาเสพติดก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งปัญหาอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบร้ายแรงกับทั้งตัวบุคคลที่เสพ รวมไปถึงบุคคลรอบข้างมาโดยตลอด เมื่อคุณพบว่าคนใกล้ตัวของคุณกำลังมีปัญหาติดยาเสพติด สิ่งที่จะช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้ดีที่สุดคือการบำบัดและฟื้นฟูจากสถานพยาบาลที่เหมาะสม ดังนั้นสำหรับผู้ที่กำลังมองหาสถานบำบัดยาเสพติดเพื่อพาคนใกล้ตัวเข้ารับการบำบัด บทความนี้สามารถเป็นแนวทางในการใช้เลือกศูนย์บำบัดยาเสพติดที่ดีที่สุดให้กับคนที่คุณรักได้ มาศึกษาไปพร้อมกันเลย
ก่อนอื่นเราอยากแนะนำเกร็ดความรู้เกี่ยวกับสถานบำบัดยาเสพติดกันสักเล็กน้อย โดยผู้ที่มีปัญหาติดยาเสพติดหรือแอลกอฮอล์ สามารถเข้ารับการบำบัดได้จากสถานพยาบาลใกล้ตัวได้ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบโรงพยาบาล ศูนย์บริการสาธารณสุข สถานบำบัดยาเสพติด และสถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด โดยแต่ละแห่งก็จะมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกันออกไป หากแบ่งรูปแบบด้านการดูแลรักษาอย่างชัดเจนมากที่สุด จะสามารถแบ่งได้ 2 รูปแบบ ดังต่อไปนี้
สถานบำบัดของรัฐบาลคือสถานที่ซึ่งรัฐบาลจัดเตรียมเอาไว้ให้กับผู้เข้ารับการบำบัด ไม่ว่าจะเป็นสถานพยาบาลต่าง ๆ ทั้งโรงพยาบาลรัฐ คลินิกบำบัด รวมถึงสถาบันฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ซึ่งมีกระจายอยู่ทั่วประเทศ จุดเด่นของสถานบำบัดของรัฐคือการไม่มีค่าใช้จ่าย แต่การดูแลอาจไม่ทั่วถึงมากนัก เนื่องด้วยจำนวนผู้ติดยาเสพติดที่เข้ารับการรักษามีเป็นจำนวนมาก
สำหรับการบำบัดการติดยาเสพติดของเอกชน จะเป็นการรักษาตามความสมัครใจของผู้เข้ารับการบำบัด โดยการดูแลรักษาจะพิเศษกว่าสถานบำบัดจากรัฐบาลเพราะมีค่าใช้จ่ายและบางแห่งก็จำกัดจำนวนผู้เข้ารับการบำบัดด้วย สถานบำบัดของเอกชนจะมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคอยให้การดูแลอย่างใกล้ชิด และผู้เข้าบำบัดจะได้รับความเป็นส่วนตัวมากกว่าสถานบำบัดของรัฐบาล นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมการบำบัดเฉพาะตัวตามสถานการณ์ของแต่ละคนด้วย โดยค่าใช้จ่ายก็จะแตกต่างกันออกไป
เมื่อคุณได้ลองค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานบำบัดยาเสพติดว่ามีที่ไหนบ้างแล้ว ไม่ว่าจะในช่องทางค้นหาใด รายชื่อของสถานบำบัดที่คุณได้รับน่าจะเยอะจนเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เราขอแนะนำคุณลักษณะของสถานบำบัดยาเสพติดที่ดีดังนี้
ตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดระบุเอาไว้ว่า ผู้เสพคือผู้ป่วย ดังนั้นต่อจากนี้ เราจะขอเรียกผู้ที่กำลังต้องการเข้ารับการบำบัดว่าผู้ป่วยเพื่อให้เข้าใจตรงกัน เมื่อได้รู้ไปแล้วว่าสถานบำบัดและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดที่ดีเป็นอย่างไร ในขั้นตอนสุดท้ายก็เป็นการตัดสินใจเลือกแล้วว่าอยากจะเลือกสถานบำบัดยาเสพติดแห่งไหน ซึ่งนี่คือการตัดสินใจที่สำคัญมากต่ออนาคตของผู้ป่วย ดังนั้นเราอยากจะแนะนำวิธีการเลือกสถานบำบัดเพื่อให้เหมาะสมต่อผู้ป่วยมากที่สุดด้วยวิธีดังต่อไปนี้
ผู้ติดยาเสพติดส่วนใหญ่มักมีปัญหาสุขภาพแทรกซ้อนและปัญหาสุขภาพจิต เราจึงต้องพูดคุยและทำความเข้าใจถึงปัญหาของพวกเขาก่อน เพื่อให้สามารถมองหาคลินิกเลิกยาเสพติดที่มีความพร้อมด้านการแพทย์และตอบโจทย์กับปัญหาสุขภาพของผู้ป่วยได้
เนื่องจากจำนวนของคลินิกบำบัดยาเสพติดมีเพิ่มมากขึ้น การเลือกสถานบำบัดยาเสพติดจึงต้องทำอย่างรอบคอบและศึกษามาในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะความน่าเชื่อถือของสถานบำบัด ซึ่งสิ่งที่สามารถตรวจสอบได้มากที่สุดก็จะเป็นเอกสารรับรองต่าง ๆ ของสถานพยาบาลและในส่วนของผู้ดูแลก็ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะเท่านั้น
แนวทางการรักษาน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของข้อสงสัยที่ว่าบำบัดยาเสพติดที่ไหนดี อย่างที่เรากล่าวไปช่วงต้นของบทความว่าแต่ละสถานบำบัดก็จะมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกันออกไป ผู้ที่มีส่วนตัดสินใจเลือกสถานบำบัดควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการรักษาว่าเป็นการบำบัดอย่างไร มีการฟื้นฟูสมรรถภาพหรือไม่ เป็นการรักษาแบบเดี่ยวหรือแบบกลุ่ม และครอบครัวมีส่วนร่วมกับการบำบัดได้มากน้อยเพียงใด เป็นต้น
หากเป็นสถานบำบัดของรัฐบาล แน่นอนว่าการดูแลย่อมไม่ค่อยทั่วถึงสักเท่าไหร่ เนื่องจากผู้ป่วยมีเป็นจำนวนมาก กลับกันหากเป็นสถานบำบัดผู้ติดยาเสพติดของเอกชน การดูแลผู้ป่วยจะได้รับการเอาใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะมีผู้ป่วยน้อยและจำกัด ทำให้การดูแลสามารถทำได้อย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง
สถานที่แหล่งฟื้นฟูผู้ติดสารเสพติดที่ดีควรอยู่ในบริเวณที่เงียบสงบ เพื่อขจัดสิ่งกระตุ้นที่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอยากกลับไปเสพยาอีกครั้ง ทั้งยังควรมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่พร้อมต่อการบำบัดรักษาและได้รับการดูแลให้สะอาดเป็นระเบียบ มีสถานที่สำหรับทำกิจกรรมสันทนาการ ซึ่งจะช่วยลดความเครียดระหว่างการบำบัดได้เป็นอย่างดีนั่นเอง
หลังจากได้รู้วิธีการเลือกสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดกันไปแล้ว เมื่อคุณพบกับสถานบำบัดที่ต้องการและได้ตกลงกับผู้ป่วยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะมาถึงขั้นตอนการเข้ารับการบำบัด เรามีเคล็ดลับดี ๆ มาฝากเพื่อเตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจให้กับผู้ป่วย ซึ่งคุณสามารถทำไปพร้อม ๆ กับผู้ป่วยได้ ดังนี้
สุดท้ายนี้หากคุณยังคิดไม่แน่ใจว่าจะพาคนที่คุณรักไปเลิกยาเสพติดที่ไหนดี เราขอแนะนำ Lighthouse สถานบำบัดยาเสพติดและแอลกอฮอล์ในประเทศไทย เราคือสถานบำบัดฟื้นฟูแบบกินนอนที่ตั้งอยู่ย่านชานเมืองของกรุงเทพ ด้วยสภาพแวดล้อมอันเงียบสงบ ใช้เทคนิคการบำบัดฟื้นฟูจากอเมริกา พร้อมด้วยการดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้เชี่ยวชาญ อาทิ ผู้เชี่ยวชาญด้านการบำบัด นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ และ พยาบาลวิชาชีพ จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเอาชนะยาเสพติดจนพร้อมที่จะกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุขได้อย่างแน่นอน ติดต่อเราได้เลยวันนี้
Lighthouse Human Services & Consulting, Co., Ltd.
Head Office:
Ramkamheng 118
Saphan Sung, Bangkok 10240
Thailand