ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีชื่อของ “ยา B5” หรือที่หลายคนเรียกกันว่า “ยาบีไฟว์” ปรากฏอยู่ในข่าวและโลกโซเชียลอยู่เป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มวัยรุ่นที่เริ่มใช้สารบางอย่างเพื่อหลีกหนีความเครียดหรือความกดดันในชีวิต บางคนอาจเคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง แต่ยังไม่เข้าใจว่ายา B5 คือยาอะไรกันแน่ ทำไมถึงถูกพูดถึงกันมาก และมันอันตรายแค่ไหน
บทความนี้ไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อชี้นิ้วตำหนิใคร แต่ตั้งใจจะอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า B5 คือยาอะไร ยาบีไฟว์ออกฤทธิ์อย่างไร และที่สำคัญที่สุดคือมีผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจของผู้ใช้มากน้อยเพียงใด ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เนื่องจากหลายคนที่ไม่รู้ว่าบี 5 คือยาอะไร อาจตกเป็นเหยื่อการใช้โดยไม่ได้ตั้งใจ
ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ปกครอง ครู เพื่อน หรือแม้แต่คนที่สงสัยในตัวเอง บทความนี้อาจช่วยให้คุณมองเห็นภาพกว้างขึ้น และตัดสินใจได้อย่างรอบคอบมากขึ้นเมื่อต้องเผชิญกับเรื่องแบบนี้ในชีวิตจริง
ยา B5 หรือที่เรียกกันในผู้ใช้ทั่วไปว่า ยาบีไฟว์ เป็นชื่อสามัญของยา Benzhexol Hydrochloride หรือ Trihexyphenidyl ซึ่งเป็นยาในกลุ่มยาออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท มีลักษณะเป็นเม็ดกลม แบน สีขาว ปั๊มคําวา B5 ลงบนเม็ดยา หากถามว่าในทางการแพทย์ ยาบี 5 คือยาอะไร? คำตอบก็คือยากล่อมประสาท B5 หรือ ยาจิตเวช B5 เพราะยานี้มักถูกใช้ในโรงพยาบาลสำหรับรักษาผู้ป่วยบางกลุ่มที่มีภาวะวิตกกังวลหรือโรคนอนไม่หลับ และบางกรณีอาจใช้รักษาโรคพาร์กินสันและช่วยบรรเทาอาการข้างเคียงจากการใช้ยาจิตเวช ซึ่งต้องใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์เท่านั้น
ยาบีไฟว์ออกฤทธิ์โดยเป็นยาต้านสารสื่อประสาท acetylcholine (anticholinergic) ช่วยลดการทำงานของระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมกล้ามเนื้อ ทำให้การเคลื่อนไหวของผู้ป่วยมีความสมดุลขึ้น
ในทางการแพทย์ยาบีไฟว์เป็นยาที่ใช้เพื่อรักษาอาการทางระบบประสาทโดยเฉพาะ แต่ในช่วงหลังมีการนำยาบีไฟว์ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ เช่น ผสมในเครื่องดื่มเพื่อให้เกิดอาการมึนเมาหรือหลอน ซึ่งเป็นอันตรายและส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างรุนแรง
ความแตกต่างหลักของยาเสพติดบีไฟว์กับยาเสพติดชนิดอื่น อยู่ที่สถานะทางกฎหมายเป็นหลัก เนื่องจากยา B5 ไม่ถูกจัดเป็นยาเสพติดให้โทษในความหมายเดียวกับยาเสพติดประเภทอื่น (B5 เป็นยาอันตรายที่ขายในร้านขายยาได้ แต่ต้องควบคุมการใช้โดยเภสัชกร) นอกเหนือจากนี้ จะมีความแตกต่างกันในด้านสารออกฤทธิ์ กลไกออกฤทธิ์ และผลทางร่างกาย-จิตใจที่เกิดขึ้น ดังที่แสดงในตาราง
แม้ยา B5 จะถูกใช้เพื่อรักษาโรคในทางการแพทย์เป็นหลัก แต่ในช่วงหลังกลับพบว่ามีการนำไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมายอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่นและกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยง มาเจาะลึกเบื้องหลังปัญหายาเสพติดที่ทำให้คนเหล่านี้หันมาใช้ B5 ในทางที่ผิดกฎหมาย มีอะไรบ้าง
ความอยากรู้อยากลองเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของวัยรุ่น เพราะเป็นช่วงวัยที่กำลังค้นหาตัวตนของตัวเอง อยากแหกกฎ และชอบเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้เองที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการใช้ยา B5 โดยไม่ได้มีเจตนาเสพติดแต่เริ่มจากความรู้สึกเพียงว่าอยากรู้ว่าเป็นยังไง
แม้ว่ายา B5 จัดเป็นยาที่กฎหมายกำหนดให้เป็นยาอันตราย ต้องจำหน่ายโดยเภสัชกรอย่างระมัดระวัง และมีบทลงโทษหากขายหรือครอบครองโดยไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย แต่เนื่องจากเป็นยาที่จำเป็นในการรักษาผู้ป่วยโรคจิตเวชและโรคพาร์กินสัน จึงยังคงจำหน่ายได้ในร้านขายยาที่มีเภสัชกรประจำ
อย่างไรก็ตาม ความจำเป็นในการใช้ยานี้เพื่อการรักษากลับกลายเป็นช่องทางที่ทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงได้ง่าย ๆ หลายรูปแบบ เช่น ซื้อจากร้านยาที่ขาดการกำกับดูแลที่เข้มงวด ซื้อผ่านระบบออนไลน์ หรือแม้กระทั่งสะสมเพื่อเป็นตัวกลางในการจำหน่ายต่อ
ภาพจำของคำว่า “ยาเสพติด” มักถูกผูกไว้กับภาพของความรุนแรง การเสพติดอย่างหนัก หรือการทำร้ายตนเองและผู้อื่น แต่ยา B5 ไม่ได้แสดงผลในลักษณะนั้นทันที จึงทำให้หลายคนมองข้ามอันตรายที่แท้จริง ผู้ใช้ยาบางรายเชื่อว่ายานี้แค่ทำให้เคลิ้ม หลุด หรือนอนหลับสบาย และสามารถเลิกได้ตลอดเวลา และนอกจากยา B5 แล้ว ก็ยังมียาโปรโคดิล และยาแก้ปวดทรามาดอลอีก ที่ถูกเข้าใจผิดในลักษณะเดียวกัน
ในบางสังคม โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นหรือผู้ที่ใช้ชีวิตกลางคืน การใช้ยาเพื่อกระตุ้นอารมณ์หรือทำให้รู้สึกเมาเคลิ้มกลายเป็นเรื่องธรรมดา การถูกชักชวนให้ลองยา B5 จากเพื่อนหรือรุ่นพี่ จึงเป็นสิ่งที่หลายคนยอมรับโดยไม่คิดมาก เพราะไม่อยากถูกมองว่าแปลกแยกหรือตกเทรนด์ ยิ่งเมื่อไม่มีใครเตือนหรือให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ก็ยิ่งทำให้พฤติกรรมนี้กลายเป็นวงจรที่แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
ความเป็นจริงที่น่ากังวลคือแม้หลายคนจะยังไม่แน่ใจว่ายา B5 คืออะไร แต่คนจำนวนไม่น้อยเริ่มใช้ยานี้เพราะเชื่อว่าจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย หรือหนีจากความเครียด โดยไม่รู้ว่านี่อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาระยะยาวที่ควบคุมไม่ได้ ดังนั้น เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับกลไกการออกฤทธิ์ยา และผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงจากการใช้ยานี้ผิดวิธี ตั้งแต่อาการของผู้ติดสารเสพติดเบื้องต้นไปจนถึงผลที่ตามมาที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต
กลไกหลักของยา B5 คือช่วยยับยั้งการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่ร่างกายมีอาการตึงเกร็ง หรือเคลื่อนไหวผิดปกติ ยานี้จะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทอัตโนมัติ ช่วยควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อที่อยู่ภายใต้แรงกดดันทางจิตใจหรือความเครียด นอกจากนี้ยังส่งผลต่อระบบประสาทพาราซิมพาเทติก ซึ่งทำหน้าที่ปรับสมดุลของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย รวมถึงควบคุมอาการแทรกซ้อนทางจิตประสาทที่เกิดจากการใช้ยาอื่นร่วมด้วย
อย่างไรก็ตาม ฤทธิ์ของยา B5 ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในด้านการรักษาเท่านั้น เพราะเมื่อใช้ในปริมาณที่มากเกินไป หรือใช้โดยไม่มีการควบคุมจากแพทย์ อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบประสาทในระดับที่รุนแรง
เมื่อมีการใช้ยาบีไฟว์เกินขนาดหรือผสมกับเครื่องดื่ม อาการแรกที่ผู้เสพจะพบคือ อาการเคลิ้มและสับสน โดยยาจะซึมซาบเข้ากระแสเลือดไปสู่สมองและระบบประสาท
อาการในระยะแรกที่พบ ได้แก่
อาการเหล่านี้อาจเกิดภายในไม่กี่นาทีหลังใช้ และอยู่ได้นานหลายชั่วโมง
แม้จะใช้ในปริมาณไม่มาก แต่ผลข้างเคียง B5 ระยะสั้นก็ถือว่าน่ากังวล เช่น
ในหลายกรณีต้องเข้ารับการดูแลในห้องฉุกเฉิน เนื่องจากร่างกายไม่สามารถรับมือกับปฏิกิริยาทางเคมีของสารได้ทัน
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของการใช้ยา B5 คือ ผลกระทบระยะยาว โดยเฉพาะในผู้ที่ใช้ต่อเนื่อง หรือแม้แต่คนที่ใช้เพียงครั้งเดียวแต่ร่างกายตอบสนองรุนแรง
อาการที่พบบ่อยในระยะยาว ได้แก่
หลายครอบครัวที่เคยมีสมาชิกใช้ยาบีไฟว์เล่าว่าแม้เวลาจะผ่านไปเป็นปี แต่บางคนก็ยังมีพฤติกรรมแปลกแยก เช่น พูดคุยคนเดียว หวาดระแวง หรือแยกตัวจากสังคมจนไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้
เมื่อยา B5 ถูกนำมาใช้ในทางที่ผิด นอกจากจะส่งผลเสียต่อระบบประสาทส่วนกลางแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเสพติดทางจิตใจอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในกรณีที่ใช้ร่วมกับแอลกอฮอล์หรือสารเสพติดอื่น ๆ การเลิกยา B5 ด้วยตัวเองอาจทำให้เกิดอาการถอนที่รุนแรง เช่น หวาดระแวง ประสาทหลอน หรืออารมณ์แปรปรวนรุนแรง จึงจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมจากทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญในศูนย์บำบัดยาเสพติดที่เข้าใจทั้งด้านร่างกายและจิตใจอย่างลึกซึ้ง
การรักษาผู้ที่ติดยา B5 ไม่ใช่เพียงการหยุดใช้ยาเท่านั้น แต่ต้องมีระบบดูแลฟื้นฟูครบวงจร โดยทั่วไปมักประกอบด้วย
ในช่วงแรก ผู้ป่วยจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์ในคลินิกบำบัดยาเสพติด หรือ ศูนย์เลิกยาเสพติด เพื่อควบคุมอาการถอนและป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น ใจสั่น สับสน หรือหลอนทางประสาท
การรักษาที่ได้ผลในระยะยาวมักต้องอาศัยการบำบัดด้านจิตใจร่วมด้วย เพื่อเปลี่ยนวิธีคิดและลดความเสี่ยงในการกลับไปใช้ยาอีกครั้ง การเข้าร่วมโปรแกรมในสถานบำบัดยาเสพติดแบบกินนอน เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการการฟื้นฟูอย่างจริงจัง
หลายคนที่ผ่านการใช้สิ่งเสพติดมักต้องเผชิญกับปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัว หรือชีวิตส่วนตัว การฟื้นฟูด้านสังคมและการเรียนรู้ทักษะชีวิตใหม่จึงมีบทบาทสำคัญ ซึ่งสถาบันฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดที่มีระบบดูแลครบถ้วน จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างมั่นคง
Lighthouse คือศูนย์บำบัดยาเสพติดเอกชนในกรุงเทพฯ มีระบบดูแลทั้งด้านกายและใจ เราได้ขึ้นทะเบียนเป็นสถานฟื้นฟูผู้ป่วยยาเสพติดอย่างถูกต้องตามกฏหมาย มี โปรแกรมบำบัดยาเสพติดแบบองค์รวม โดยใช้ทั้งการแพทย์ จิตวิทยา การบำบัดรายบุคคล และกิจกรรมฟื้นฟูในชีวิตจริงภายใต้การดูแลของทีมงานผู้เชี่ยวชาญของเราอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมสภาพแวดล้อมที่สงบและเป็นส่วนตัว ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัยตลอดกระบวนการรักษา
การบำบัดฟื้นฟูที่ Lighthouse สามารถช่วยให้ผู้ป่วยเลิกใช้ยา B5 และมุ่งเน้นการฟื้นฟูทั้งสภาพจิตใจและร่างกายเพื่อให้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมั่นคง หากคุณหรือคนใกล้ตัวกำลังเผชิญกับปัญหาการใช้ยา B5 และต้องการการดูแลอย่างจริงจัง ติดต่อเราเพื่อขอคำปรึกษาและเริ่มต้นกระบวนการบำบัดได้ทันที Lighthouse พร้อมที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง
Lighthouse Human Services & Consulting, Co., Ltd.
Head Office:
Ramkamheng 118
Saphan Sung, Bangkok 10240
Thailand