ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาใหญ่ที่แพร่ระบาดในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ยาอี” หรือ “ยาเลิฟ” ที่เป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นและคนหนุ่มสาว หลายคนอาจมองว่ายาอีเป็นเพียงยาเสริมความสนุกในงานปาร์ตี้หรือดิสโก แต่ความจริงแล้วยาอีมีอันตรายร้ายแรงมากกว่าที่คิด ไม่เพียงแต่จะทำลายสุขภาพของผู้เสพเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อครอบครัว ชุมชน และสังคมโดยรวม
บทความนี้ชวนทำความเข้าใจอย่างตรงไปตรงมา ตั้งแต่ยาอีคืออะไร ออกฤทธิ์อย่างไร ใช้แล้วอาการเป็นอย่างไร ผลข้างเคียงทั้งหมดอันตรายแค่ไหน รวมถึงโทษของยาอี ทั้งกรณีครอบครอง เสพ และจำหน่าย เพื่อช่วยให้คนที่อยากเลิกหรือกำลังมองหาความช่วยเหลือสามารถตัดสินใจบนข้อมูลที่ถูกต้อง และเห็นทางออกที่ปลอดภัย
ยาอี (Ecstacy) คือ ยาเสพติดสังเคราะห์ที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า MDMA (3,4-Methylenedioxymethamphetamine) ซึ่ง MDMA คือสารประกอบทางเคมีที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นในห้องปฏิบัติการ และยาเลิฟ คือ ชื่อเรียกภาษาอังกฤษของยาชนิดเดียวกันนี้ที่มาจากคำว่า “Love Pill” เนื่องจากผลของยาที่ทำให้ผู้เสพรู้สึกรักใคร่ผูกพันกับคนรอบข้างมากขึ้น
ยาอีมักจะอยู่ในรูปแบบเม็ดยา มีสีและรูปร่างที่หลากหลาย เช่น สีขาว ชมพู เหลือง หรือสีอื่นๆ บางเม็ดมีลายหรือโลโก้พิเศษ เช่น รูปหัวใจ ดาว หรือสัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อเป็นเครื่องหมายการค้า
ส่วนประกอบของยาอีที่วางจำหน่ายในตลาดมืดมักไม่บริสุทธิ์ มีการผสมสารเคมีอื่นๆ เข้าไป เช่น แอมเฟตามีน หรือสารเคมีอันตรายอื่นๆ ทำให้ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะมีผลข้างเคียงอย่างไร
ยาอีออกฤทธิ์โดยการเข้าไปรบกวนระบบสื่อสารในสมอง โดยเฉพาะการทำงานของสารสื่อประสาท 3 ชนิดหลัก ได้แก่ เซโรโทนิน โดปามีน และนอร์อะดรีนาลีน
เซโรโทนิน: เป็นสารสื่อประสาทที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมอารมณ์ ความสุข และการนอนหลับ ยาอีจะทำให้เซโรโทนินหลั่งออกมาอย่างมากในช่วงเวลาสั้นๆ ส่งผลให้ผู้เสพรู้สึกเบิกบานใจ มีความรัก ความเมตตาต่อผู้อื่น และรู้สึกเชื่อมต่อกับสิ่งรอบตัวอย่างลึกซึ้ง
โดปามีน: เป็นสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกสนุกสนาน ความพึงพอใจ และแรงจูงใจ การเพิ่มขึ้นของโดปามีนทำให้ผู้เสพรู้สึกมีพลังงาน ตื่นตัว และอยากเสพซ้ำ
นอร์อะดรีนาลีน: ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ ความดันโลหิต และระดับความตื่นตัว ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น และร่างกายอยู่ในสภาวะพร้อมรบ
ผลของยาจะเริ่มต้นภายใน 30-60 นาที หลังจากเสพ และคงอยู่ประมาณ 3-6 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับปริมาณที่เสพและปัจจัยส่วนบุคคล
ผู้ที่เสพยาอี อาการจะสามารถแบ่งออกเป็น 2 ช่วงหลัก คือ ช่วงที่ยาออกฤทธิ์ และช่วงหลังยาหมดฤทธิ์ ซึ่งแต่ละช่วงจะมีอาการที่แตกต่างกัน
อาการทางจิตใจ:
อาการทางร่างกาย:
หากพบอาการเหล่านี้ ต้องรีบพาส่งโรงพยาบาลทันที
สิ่งสำคัญ: อาการหลังเสพยาอีแต่ละคนจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปริมาณที่เสพ ความบริสุทธิ์ของยา สภาพร่างกาย และการมีโรคประจำตัว การเสพแม้เพียงครั้งเดียวก็อาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้
ตามกฎหมายไทย ยาอี (MDMA) ถูกจัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ซึ่งมีโทษทางกฎหมายที่รุนแรงมาก
โทษ: จำคุกไม่เกิน 15 ปี และปรับไม่เกิน 1,500,000 บาท
(1) การกระทำเพื่อการค้า
(2) การก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน
(3) การจำหน่ายแก่บุคคลอายุไม่เกิน18ปี
(4) การจำหน่ายในบริเวณสถานศึกษา สถานอันเป็นที่เคารพในทางศาสนาของหมู่ชนใด หรือสถานที่ราชการ
(5) การกระทำโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือ ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย
(6) การกระทำโดยมีอาวุธหรือใช้อาวุธ
โทษ: จำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 200,000 บาท – 2,000,000 บาท
(1) การกระทำโดยหัวหน้า ผู้มีหน้าที่สั่งการ หรือผู้มีหน้าที่จัดการในเครือข่ายอาชญากรรม
(2) การทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป
โทษ: ต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่ 5 ปีถึงจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 500,000 – 5,000,000 บาท หรือประหารชีวิต
โทษ: จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
โทษ: ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
โทษ: ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึงจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 300,000 บาท – 5,000,000 บาท
เมื่อมองครบทุกด้าน ภาพที่ชัดเจนคือความเสี่ยงจากการใช้ยาอีมีอยู่จริงและสูงกว่าที่คิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยาที่ได้มาไม่มีมาตรฐาน ไม่รู้ปริมาณสารออกฤทธิ์ และอาจปนเปื้อนสารอื่น ความสนุกไม่กี่ชั่วโมงอาจแลกด้วยอันตรายที่คาดไม่ถึง
ข่าวดีคือ การฟื้นคืนคุณภาพชีวิตเป็นไปได้ หากเริ่มต้นขอความช่วยเหลืออย่างถูกทาง สำหรับผู้ติดสารเสพติดที่รู้สึกว่าควบคุมไม่ได้แล้ว หรือคนในครอบครัวกำลังเผชิญปัญหายาเสพติด การเข้าร่วมโปรแกรมบําบัดยาเสพติดที่เป็นระบบ จะช่วยประเมินทั้งด้านร่างกายและจิตใจ วางแผนการดูแลรายบุคคล ตั้งแต่การถอนพิษอย่างปลอดภัย การทำจิตบำบัดรายบุคคลและกลุ่ม การเสริมทักษะป้องกันการหวนกลับไปใช้ และการดูแลครอบครัวร่วมกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมใหม่ที่หนุนให้ก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคง
หากต้องการการดูแลใกล้ชิดและต่อเนื่อง การเข้าพักในคลินิกบำบัดฟื้นฟูสำหรับผู้เลิกยาเสพติดเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เพราะมีทีมสหวิชาชีพดูแลตลอด 24 ชั่วโมง สภาพแวดล้อมปลอดภัยและออกแบบให้ฟื้นฟูได้จริง ในประเทศไทยมีหลายศูนย์ที่เน้นความเป็นส่วนตัวและการฟื้นตัวแบบองค์รวม เช่น Lighthouse สถานบําบัดยาเสพติด กินนอน ที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย ศักดิ์ศรี และเป้าหมายระยะยาวของผู้รับการบำบัด
สุดท้ายนี้ ไม่ว่าคุณจะกำลังอ่านเพื่อทำความเข้าใจ ป้องกันความเสี่ยงให้ตัวเองหรือคนรอบตัว หรือกำลังมองหาทางออกอย่างจริงจัง ขอชวนให้คุยกับผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่วันนี้ ยิ่งเริ่มเร็ว โอกาสฟื้นคืนคุณภาพชีวิตก็ยิ่งสูงขึ้น คืนที่สนุกควรจบลงด้วยความทรงจำดีๆ ไม่ใช่ความเสียใจที่ยืดยาว
Lighthouse Human Services & Consulting, Co., Ltd.
Head Office:
Ramkamheng 118
Saphan Sung, Bangkok 10240
Thailand