บทความนี้เป็นในส่วนของหลายๆเรื่องราวที่เกี่ยวกับยาไอซ์  หากต้องการกลับไปอ่านเนื้อหาเกี่ยวกับที่มาให้คลิกที่นี่:
ยาไอซ์คืออะไร

หากสงสัยว่าสมาชิกในครอบครัวมีการใช้ยา ไอซ์หรือมีการติดยาเสพติดหรือไม่ คุณอาจเริ่มสังเกตได้จาก

  1. ลักษณะนิสัยที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น โกหกมากขึ้น เกียจคร้าน หรือไม่มีความรับผิดชอบ
  2. อารมณ์ฉุนเฉียวขี้โมโหหงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวนอย่างเห็นได้ชัด
  3. อุปกรณ์การเสพ คุณอาจจะพบอุปกรณ์การเสพเช่น กระดาษฟรอยด์ หลอด หรือไฟแช็ค ในห้อง ให้สงสัยเบื้องต้นก่อนได้เลยว่าอาจมีการใช้ยาเสพติด
  4. การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเช่นน้ำหนักลดลงซูบผอม ไม่ค่อยแข็งแรง ผิวหนังแห้งกร้าน
  5. กลิ่น ผู้ที่เสพยา จะมีกลิ่นตัวหรือกลิ่นลมหายใจแตกต่างไปจากเดิม
  6. ไม่ค่อยสุงสิงกับใครเก็บตัวมากขึ้น แต่อาจมีการพบปะคนแปลกหน้ามากขึ้น ซึ่งบางครั้งอาจเป็นกลุ่มเพื่อนใหม่ที่ใช้ยาเสพติด

ไอซ์มีลักษณะอย่างไร

ยาไอซ์จะไม่มีกลิ่น และมีลักษณะเป็นผลึกใสคล้ายก้อนน้ำแข็ง จึงเป็นที่มาของชื่อ ยาไอซ์  โดยจะมีความบริสุทธิ์ของยาค่อนข้างสูงกว่า ยาบ้าประมาณ4-5 เท่า ทำให้ติดง่ายและรุนแรงกว่ามาก ซึ่งยาไอซ์จะเป็นสารกระตุ้นประสาท จะออกฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและสมอง

วิธีเสพยาไอซ์

สามารถทำได้หลายวิธีโดยทั่วไปจะใช้วิธีละลายน้ำแล้วฉีดเข้าเส้นเลือด บางคนนำไปเผาไฟแล้วสูตรดมควัน นอกจากนี้ยังสามารถเสพโดยการกลืน รวมถึงสอดใส่ทางทวารได้ด้วย สำหรับการเสพโดยใช้วิธีสูบหรือฉีดยาจะออกฤทธิ์ทันที แต่หากเป็นวิธีการกลืนหรือสูดดมเข้าไปจะใช้เวลาในการออกฤทธิ์ประมาณ 30 นาที

อะไรคือสัญญาณทางกายภาพของการใช้ยาไอซ์?

แน่นอนว่าหากมีการใช้ยาเสพติด ตัวยาจะส่งผลต่อร่างกาย โดยยาเสพติดบางชนิดรวมถึงยาไอซ์ จะส่งผลต่อร่างกายที่ชัดเจนและเห็นได้ชัด เช่นผู้เสพจะซูบผอม น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากแห้ง มือและนิ้วสั่น  มีปัญหาช่องปากและฟัน ผิวหนังดำกร้าน มีบาดแผลตามใบหน้าและร่างกายเนื่องจากผิวแห้งเสีย ไม่ได้ช่วยให้ผอม ขาวสวยอย่างที่หลายๆคนเข้าใจแต่อย่างใด

พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจากการใช้ยาไอซ์

เนื่องจากยาไอซ์เป็นสารที่กระตุ้นการทำงานของระบบประสาท จึงแน่นอนว่าจะมีผลส่งต่อมาถึงพฤติกรรม การแสดงออกของผู้ที่ใช้ยาด้วยเช่นกัน เช่น

  1. มีการเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้น และไม่อยู่นิ่ง
  2. บางรายชอบกัดกราม
  3. ใส่แว่นกันแดด ไม่กล้าสู้แสง
  4. นิสัยเปลี่ยน อาจมีการตะโกนหรือแสดงความก้าวร้าวออกมามากขึ้น
  5. มีความมั่นใจ และมีพลังงานมาก
  6. มีความต้องการจะมีเพศสัมพันธ์มากข้ึน

จะทำอย่างไรหากคุณเชื่อว่าสมาชิกในครอบครัวติดยาไอซ์?

หากคุณเชื่อว่าคนที่คนรู้จัก คนรัก หรือคนในครอบครัวของคุณกำลังใช้ยาไอซ์ หรือเริ่มมีอาการติดยา สิ่งที่ควรจะทำอันดับแรกๆก็คือ 

  1. ต้องมีสติไม่โกรธจนวู่วาม หรือใช้คำพูดด่าทอรุนแรง เพราะอาจเป็นการผลักไสให้เขาหนีห่างจากครอบครัว ไม่กล้าปรึกษาปัญหาหรือบอกสาเหตุที่ใช้ยากับเราได้
  2. รับฟัง สอบถาม และทำความเข้าใจ รวมถึงการพูดคุยอย่างจริงใจ ในเรื่องนี้จะสำคัญมากสำหรับตัวคุณ และสมาชิกในครอบครัวที่ติดยา เนื่องจากจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากทั้ง2 ฝ่ายในการแก้ปัญหาร่วมกัน
  3. ควรพยายามยอมรับความจริงเพื่อเตรียมพร้อมในการช่วยเหลือเขาอย่างถูกวิธี
  4. ให้กำลังบ่อยๆ เพราะกำลังใจจากคนที่รัก และคนที่เข้าใจ เป็นสิ่งสำคัญมากที่จะช่วยผลักดันให้เขาเลิกใช้ยา
  5. พาไปบำบัดรักษาในสถานพยาบาลต่างๆ เนื่องจากผู้ป่วยบางท่านอาจจะไม่สามารถทำการเลิกยาด้วยตนเองได้ง่ายๆ เนื่องจากสมองมีอาการติดยาไปแล้ว และบางครั้งการหักดิบ หรือหยุดใช้ยากระทันหัน อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

ยาไอซ์ หรือไอซ์ ( Ice) มีชื่อทางเคมีว่า เมทแอมเฟตามีน (Methamphetamine ) ซึ่งก็คือยาบ้าประเภทหนึ่งในรูปของสารบริสุทธิ์ แต่จะออกฤทธิ์แรงกว่ายาบ้า  โดยส่งผลต่อระบบประสาท จะให้ความรู้สึกเคลิบเคลิ้ม สนุกสนาน ร่าเริง และไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย และเนื่องจากยาไอซ์จะมีลักษณะเป็นผลึกใสคล้ายก้อนน้ำแข็ง อาจไม่มีสีถึงมีสีขาว จึงเป็นที่มาของการเรียกชื่อยาไอซ์ หรือน้ำแข็งนั่นเอง

ไอซ์ให้ผลเสพติดหรือไม่ ? 

แน่นอนว่ายาไอซ์ทำให้เกิดการเสพติด และติดอย่างง่ายดาย เพียงแค่มีการใช้ไม่กี่ครั้ง เนื่องจาก แอมเฟตามีนจะส่งผลต่อระบบจิตและประสาท มีฤทธิ์เสพติดที่รุนแรงและอันตรายกว่ายาบ้าทั่วๆไป โดยเมื่อเสพเข้าไปจะออกฤทธิ์กระตุ้นสมองให้หลั่งสารสื่อประสาท โดพามีน(Dopamine) ออกมามากผิดปกติ สารนี้ทำให้เกิดอารมณ์สนุกสนานเคลิบเคลิ้ม แต่หากเมื่อยาหมดฤทธิ์ สมองจะต้องการให้เกิดการหลั่งของสารโดพามีนอีก ทำให้ผู้เสพต้องกลับมาใช้ยาอีกครั้งเพื่อสร้างความสุข ในรูปแบบเดิม

ยาไอซ์ผิดกฎหมายหรือไม่ ?

ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ระบุว่า ยาไอซ์ เมทแอมเฟตามีน เป็นยาเสพติดประเภทที่1 ยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรง เช่นเดียวกับเฮโรอีนและยาบ้า

ผู้ที่กระทำความผิด โดยการครอบครองเพื่อเสพมี โทษตามกฎหมายคือโทษจำคุก1ปี ถึง10 ปี และโทษปรับสูงสุด 200,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และในกรณีที่มีการครอบครองสารเสพติดให้โทษในประเภทนี้เกินกว่า 20 กรัมกฎหมายให้ถือว่าเป็นการครอบครองไว้เพื่อจำหน่าย มีโทษจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งโทษสูงสุดคือประหารชีวิต

ผลในระยะสั้น

อ่านต่อ: ยาไอซ์ส่งผลต่อคุณอย่างไร?

ผลในระยะยาว

อ่านต่อ: ยาไอซ์ส่งผลต่อคุณอย่างไร?

ทำไมคนถึงเสพยาไอซ์ ?

ยาไอซ์มักเป็นที่นิยมในกลุ่มคนที่มีฐานะ คนดัง นักร้อง รวมถึงคนทั่วไปที่มีกำลังในการซื้อเนื่องจากมีราคาที่ค่อนข้างแพงกว่ายาบ้า บางคนเริ่มต้นจากความอยากรู้อยากลอง จนมีการทดลองใช้ จนกระทั่งกลายเป็นเสพติด เพราะความสุขที่ได้รับ และความเพลินเพลินระหว่างการเสพเข้าไป ทำให้มีความต้องการใช้มากขึ้นเรื่อยๆ และบางครั้งเป็นเสมือนแฟชั่นในกลุ่มผู้ใช้ยา นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกว่า ยาไอซ์จะช่วยให้สมองดี เรียนดี ช่วยเพิ่มสมรรถภาพและความต้องการทางเพศอีกด้วย 

วิธีเสพยา

ส่วนใหญ่มักจะนิยมใช้วิธีสูดดมไอระเหยเข้าไป, การฉีดเข้าเส้นเลือด, และการกลืน 

อ่านต่อ: แฟนหรือสมาชิกในครอบครัวของคุณเสพยาไอซ์หรือไม่

จะบอกได้อย่างไรเมื่อมีอาการเมายา

การแสดงออกทางพฤติกรรม อาจบ่งบอกถึงความผิดปกตินั้นได้ เช่น

อ่านต่อ: แฟนหรือสมาชิกในครอบครัวของคุณเสพยาไอซ์หรือไม่

แอลเอสดี (LSD : lysergic acid diethylamide)

     แอลเอสดี หรือแสตมป์มรณะ หรืออีกชื่อที่ถูกเรียกคือกระดาษเมา เป็นสารที่สกัดได้จากกรดไลเซอจิก(Lysergic acid) ที่มีอยู่ในเชื้อรา ที่อยู่บนเมล็ดข้าวไรย์ มีลักษณะเป็นผลึกสีขาว ไม่มีกลิ่น มีรสขมเล็กน้อยมักจะเสพด้วยการรับประทาน ถูกค้นพบว่าในระยะแรกผู้เสพส่วนใหญ่เป็นกลุ่มศิลปิน นักดนตรี กลุ่มฮิปปี้และในระยะต่อมา เริ่มระบาดในกลุ่มวัยรุ่นและทุกชนชั้น เนื่องจากหาซื้อได้ง่าย มีขายทั่วไป จนกลายเป็นปัญหาระดับชาติของสหรัฐอเมริกา 

     สำหรับประเทศไทยนั้น แอลเอสดีถูกจัดอยู่ในกลุ่มยาเสพติดให้โทษในประเภทที่1 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ผู้ผลิต นำเข้า หรือส่งออกต้องระวังโทษจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งล้านบาทถึงห้าล้านบาท ผู้เสพต้องระหว่างโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสามปีหรือ ปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นถึงหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

     การเสพแอลเอสดีมักเสพโดยการรับประทาน สูดดม เคี้ยว หรืออม มีหลากหลายรูปแบบได้แก่ เม็ดกลมแบน แคปซูล แผ่นเจล ของเหลวบรรจุในหลอดแก้ว ส่วนใหญ่ที่พบจะนำเอาแอลเอสดีไปหยดลงบนกระดาษสี่เหลี่ยมที่มีคุณสมบัติดูดซับที่มีลวดลายและสีสันต่างๆแล้วแบ่งเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆคล้ายแสตมป์นิยมเรียกกันในหมู่ผู้เสพว่าแสตมป์เมากระดาษเมา( Magic paper )จะออกฤทธิ์ภายใน 30 ถึง 90 นาทีและมีฤทธิ์อยู่ได้นานแปดถึง 12 ชั่วโมง 

     ยาเสพติดชนิดนี้ มีความรุนแรงในการออกฤทธิ์ต่อสมองสูง แต่จะมีการเสพติดทางจิตใจเท่านั้น ไม่มีการเสพติดทางร่างกาย และไม่มีอาการขาดยาทางร่างกาย ผู้ที่เสพในช่วงแรกจะมีอารมณ์ร่าเริง สนุกสนาน แต่หลังจากนั้นจะมีอาการเห็นภาพลวงตา กระวนกระวาย หูแว่ว เกิดอาการกลัวภาพหลอน การหายใจไม่สม่ำเสมอ เดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้า จนกระทั่งอาจทำร้ายตัวเองหรือนำไปสู่การฆ่าตัวตายได้ 

     และนอกจากนี้หากใช้แอลเอสดีต่อเนื่องไปนานๆ อาจทำให้เป็นโรคจิตโดยเฉพาะผู้ที่มีความผิดปกติทางจิตใจอยู่ก่อนแล้ว และแม้ว่าจะมีการหยุดใช้ยาไปแล้วก็ตาม แต่อาการโรคจิตอาจเป็นซ้ำได้อีก ซึ่งการรักษาอาการดังกล่าวจะทำได้ยากและอาจต้องใช้เวลานานเพื่อให้อาการทุเลาลง

          ไนตรัสออกไซด์  (Nitrous oxide)

      หากเอ่ยชื่อ ไนตรัสออกไซด์ หลายคนอาจจะยังไม่รู้จักว่ามันคืออะไร แต่หากพูดถึง” แก๊สหัวเราะ “อาจจะมีหลายท่านเคยรู้จักหรืออ่านข่าวกันมาบ้างแล้ว 

      ไนตรัสออกไซด์ (Nitrous oxide)  คือสารประกอบทางเคมี ที่ไม่มีสี และเป็นแก๊สไม่ติดไฟ มีกลิ่นหอมและมีรสหวานเล็กน้อย เป็น1 ในสารระเหยที่มีการนำไปใช้ในทางที่ผิดบ่อยๆ  โดยสมัยก่อนทางการแพทย์ใช้ ไนตรัสออกไซด์ ในการผ่าตัดและทันตกรรม เพื่อให้เกิดอาการชาและระงับความเจ็บปวด แต่ปัญหาคือยาจะหมดฤทธิ์ค่อนข้างเร็ว จึงไม่เป็นที่นิยมมากนัก และในปัจจุบันทางการแพทย์ก็มีการใช้น้อยลงมามากแล้ว เนื่องจากมียาสลบหรือยาชาที่มีประโยชน์และประสิทธิภาพมากกว่าให้เลือกใช้  นอกจากนี้ ไนตรัสออกไซด์ ยังถูกนำไปใช้ในเรื่องของอุตสาหกรรมยานยนต์ด้วย โดยให้เป็นตัวเติมออกซิเจนเพิ่มกำลังให้เครื่องยนต์ และยังใช้ทำถุงลมนิรภัยอีกด้วย

     ปัจจุบันมีการนำ ไนตรัสออกไซด์ ไปใช้ในทางที่ผิด ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องผิดกฏหมาย มีผู้นำมาใช้สูดดม หวังผลให้เคลิบเคลิ้ม อารมณ์ดี ถ้ามีการใช้อย่างต่อเนื่องเป็นประจำ อาจส่งผลให้เซลล์ต่างๆในร่างกายตายได้ โดยเฉพาะเซลล์สมองอาจจะขาดออกซิเจน หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จะเป็นโรคหัวใจได้ทันที นอกจากส่งผลต่อด้านร่างกายแล้ว การสูดดม ไนตรัสออกไซด์ ยังมีผลในด้านสุขภาพจิตด้วย ทำให้เกิดอาการประสาทหลอน และมีอาการหูแว่ว ซึ่งส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตในด้านอื่นๆอย่างแน่นอน 

      นอกจากจะส่งผลต่อมนุษย์แล้ว  ไนตรัสออกไซด์ ยังเป็นสารที่ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วย ถูกจัดเป็นแก๊สที่ทำร้ายชั้นบรรยากาศโอโซนของโลก มีส่วนในการทำให้เกิดภาวะโลกร้อน  ในปัจจุบันจึงมีการควบคุมการใช้ก๊าซนี้มากขึ้น

          ยาเบนโซไดอะซีปีน

     ยาเบนโซไดอะซีปีน (Benzodiazepine) เป็นกลุ่มยาระงับประสาท โดยแพทย์จะสั่งยาให้ผู้ป่วยที่มีภาวะวิตกกังวล นอนไม่หลับ ถอนพิษสุรา คลายกล้ามเนื้อ และใช้ก่อนการให้ยาระงับความรู้สึก เช่น ก่อนการผ่าตัด และเนื่องจากเป็นยาที่ให้ผลดีในการรักษาอาการผู้ป่วยหลายด้านจึงเป็นยาที่แพทย์นิยมสั่งใช้อย่างแพร่หลายมากที่สุดในโลก

     ยากลุ่มเบนโซไดอะซีปีนจะมีหลายชนิด แตกต่างกันไปตามศักยภาพ ,ความเร็วในการออกฤทธิ์ และการใช้รักษา โดยปกติยาเบนโซไดอะซีปีน จะช่วยลดอาการวิตกกังวลและบรรเทาอาการของโรคนอนไม่หลับ แต่เนื่องจากยาเบนโซไดอะซีปีน ออกฤทธิ์ทำให้มึนเมา ช่วยคลายเครียดและหาซื้อได้ค่อนข้างง่าย จึงทำให้บางครั้งมีผู้นำมาใช้ในทางที่ผิด  และหากได้รับในปริมาณที่มาก หรือใช้ร่วมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่ค่อนข้างรุนแรงอาจจะมีอาการตาพร่ามัว พูดไม่ชัด และหายใจลำบาก จนบางครั้งมีอาการโคม่าและเสียชีวิตจากการหยุดหายใจได้

     ในปัจจุบันมีการหันมาใช้ยานอนหลับเพื่อช่วยให้นอนหลับได้ง่ายมากขึ้น แต่ยานอนหลับชนิดเบนโซไดอะซีปีน เป็นยานอนหลับที่ค่อนข้างแรง หากมีการใช้อย่างต่อเนื่องอาจส่งผลทำให้ผู้ใช้เกิดอาการวิตกกังวลอย่างรุนแรง มีอาการกระวนกระวาย รวมไปถึงอาการโรคจิตที่อาจจะเกิดขึ้นภายหลังได้ จึงขอแนะนำว่า หากท่านต้องการที่จะใช้ยาไม่ว่าชนิดใดก็ตาม ควรมีการปรึกษาแพทย์เสียก่อน เพื่อให้ได้รับยาอย่างถูกต้องและมีความเหมาะสมกับอาการ และเพื่อทราบวิธีการหยุดฤทธิ์ยาหากเกิดผลกระทบในภายหลังร่วมด้วย

ยาอีคืออะไร?

     ยาอี มาจากคำว่า Ecstasy ที่แปลว่า สนุกสนานเบิกบานใจ มีสูตรโครงสร้างใกล้เคียงกับยาบ้า คือ เมทแอมเฟตามีน แต่ออกฤทธิ์ร้ายแรงกว่า  คือนอกจากจะออกฤทธิ์กระตุ้นประสาทแล้ว ยังมีฤทธิ์หลอนประสาทอีกด้วย 

     ยาอีหรือ MDMA ถูกสังเคราะห์ขึ้นมาโดยชาวญี่ปุ่น สังเคราะห์เพื่อให้ออกฤทธิ์สร้างความสุข  สนุกสนาน เคลิบเคลิ้มกับทุกอย่างรอบตัวเกินความเป็นจริง มีคนให้ฉายาว่า เป็นยาแห่งความรัก  เพราะผู้เสพจะรู้สึกได้รับความรักและความอบอุ่นหลังจากที่มีการใช้ยา นอกจากนี้ก็มีบางท่านใช้ยาอีเพื่อให้เกิดความรู้สึกทางเพศมากขึ้นอีกด้วย  และเนื่องจากยาอีเป็นยาเสพติดราคาแพง ผู้ผลิตยาจึงอาจผสมสารเสพติดชนิดอื่นลงไปเพื่อลดต้นทุน เช่นเฮโรอีน หรือยาเค แต่นั่นจะส่งผลให้ยาออกฤทธิ์รุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม และแน่นอนว่ามีผลต่อร่างกาย ซึ่งอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว

     ผลของยาอีต่อร่างกายนั้น มีทั้งในระยะสั้นและระยะยาว 

     ผลในระยะสั้น  :  จะเริ่มออกฤทธิ์หลังเสพไปประมาณ20 นาที ถึง 1ชั่วโมง  อาการที่พบ ได้แก่ ความมั่นใจที่เพิ่มมากขึ้น ,สนุกสนานเป็นสุข  , ความยับยั้งชั่งใจน้อยลง ,เหงื่อออกมาก ,คลื่นไส้ , หัวใจเต้นเร็ว และเสี่ยงร่างกายขาดน้ำ 

     ผลในระยะยาว : เมื่อมีการใช้ยาอีอย่างต่อเนื่อง จะมีอาการที่พบได้แก่ อาการซึมเศร้า ,หดหู่ , วิตกกังวล ,ความจำเสื่อม ,ตับและไตถูกทำลาย และเสียงต่อโรคเส้นเลือดในสมองอุดตัน 

     เห็นได้ว่ายาอีส่งผลเสียเป็นอย่างมากต่อร่างกาย  แต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนมากเช่นกัน ที่ยังคงใช้ยาอีในชีวิตประจำวัน บางครั้งในบางรายมีการใช้ยาเกินขนาด อาจส่งผลให้หัวใจเต้นเร็ว  มีอาการลมชัก และหมดสติ แนะนำให้ญาติหรือคนรู้จักรีบนำส่งโรงพยาบาล เพื่อทำการรักษาและบำบัดต่อไป มิเช่นนั้นวันนึงอาจส่งผลร้ายแรงต่อชีวิตได้

          กระท่อม

     ในสมัยก่อนมีการนำกระท่อมหรือใบกระท่อมมาใช้ทำยาสมุนไพร แก้อาการไอ แก้ระบบย่อยอาหารไม่ปกติ เช่น ท้องเสีย บิดปวดท้อง หรือแม้กระทั่งเพื่อลดความดันโลหิต แต่ก็นิยมนำมาใช้เป็นสารกระตุ้นให้ร่างกายสามารถทำงานได้หนักมากขึ้นด้วยเช่นกัน

     กระท่อมเป็นไม้ยืนต้นสูงประมาณ10-15เมตรใบเป็นใบเดี่ยวสีเขียว ใบกระท่อมมีสารสำคัญ เรียกว่า ไมทราไจนีน (Mitragynine) เป็นสารจำพวกอัลคาลอยด์ ออกฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง เช่นเดียวกับกลุ่มยาบ้า ตามภูมิปัญญาชาวบ้านจะนิยมนำใบของต้นกระท่อม เด็ดก้านออกและเคี้ยวใบสด หรือนำใบลงไปต้มชงกับน้ำร้อน จะออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท ช่วยให้ผู้ที่เสพเข้าไปรู้สึกดี มึนเมา สามารถทำงานได้อย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย และทนต่อสภาวะอากาศร้อนได้ดียิ่งขึ้น แต่ว่าโทษจากการเสพใบกระท่อมทำให้มีสภาพผิวหนังที่แห้งดำ มีอาการมึนงง ปากแห้ง ท้องผูก นอนไม่หลับ และหนาวสั่น ส่วนทางด้านสภาพจิตใจ จะมีอาการสับสน และมีอาการประสาทหลอน นอกจากนี้ในทางการแพทย์จะนำกระท่อมมาใช้เพื่อลดอาการขาดยาจากสารเสพติดชนิดอื่น เช่น ฝิ่นและมอร์ฟีน เป็นต้น

    การเสพใบกระท่อมจะทำให้ผู้เสพมีอาการเสพติดทั้งทางร่างกายและจิตใจ จนอาจมีอาการขาดยาทางร่างกายเกิดขึ้น หากมีการหยุดใช้หรือลดปริมาณการใช้ลง ดังนั้นถ้าหากคุณกำลังประสบปัญหาระหว่างการพยายามเลิกใช้ แนะนำให้ติดต่อพบจิตแพทย์ หรือติดต่อกับทางศูนย์บำบัดเพื่อให้ได้รับความช่วยเหลือได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยมากขึ้น

การรับมือกับผู้ต้องการเลิกใช้ยาเสพติด ในแบบฉบับครอบครัว

 ยังคงเป็นปัญหาที่มีมานานต่อเนื่องในเรื่องของยาเสพติด ไม่ว่าจะในยุคสมัยไหนก็ตาม ก็ยังไม่สามารถกวาดล้างให้หมดไปได้ เราจึงยังต้องอยู่ในสังคมร่วมกับผู้ที่มีการใช้ยาเสพติด แต่ในที่นี้จะพูดถึงบทบาทของ ครอบครัว ญาติสนิท ที่ควรปฏิบัติต่อสมาชิกในครอบครัวที่มีการติดยา และมีความต้องการที่จะเลิกหรือหยุดใช้

 สำหรับครอบครัวหรือญาติสนิท ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า บางครั้งผู้ที่ใช้ยาเสพติดจะมีอารมณ์หงุดหงิดง่าย หรือมีพฤติกรรมก้าวร้าวหยาบคาย จะมีผลมาจากการที่สารเสพติด ที่มีการใช้อย่างต่อเนื่อง ไปเปลี่ยนแปลงการทำงานในสมองของเขา ทำให้มีพฤติกรรมหรือการแสดงออก ออกมาเช่นนั้น ซึ่งหากผู้ใช้ยาต้องการหรือตัดสินใจแล้วว่าจะเลิก กำลังใจจากทางญาติพี่น้องจะเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะช่วยผลักดันให้เขาได้ทำมันได้สำเร็จ ดังนั้นการเข้าใจในตัวของเขา และสาเหตุที่เป็น จะช่วยให้ญาติมีความอดทนมากขึ้นในการรับมือและพร้อมที่จะให้กำลังใจต่อในการเลิกยาของเขา

 สิ่งที่ญาติหรือครอบครัวควรจะทำก็คือ คอยให้กำลังใจเขาอยู่เรื่อยๆ คอยย้ำเตือนถึงผลเสียของยาเสพติดที่มีต่อการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพร่างกาย การงานหรือการเงิน เขาจะได้รู้สึกว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง และที่สำคัญญาติต้องระวังคำพูด หรือน้ำเสียงในการพูดคุยกับเขา ไม่ควรมีการด่าทอ พูดจาจับผิด หรือเอาเรื่องที่ไม่ดีในอดีตมาพูดอีก เนื่องจากผู้ที่ต้องการเลิกยา หลังจากที่พยายามหยุดการใช้ จะมีอารมณ์อ่อนไหวได้ง่าย นอกจากนี้ญาติจะต้องดูแลเรื่องการรับประทานยาจากแพทย์ให้เขาเช่นกัน ให้มีการทานอย่างต่อเนื่อง และไปพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ 

      นอกจากกำลังใจจากญาติแล้ว ผู้ที่ต้องการที่จะเลิก ก็ควรจะให้กำลังใจตนเองเช่นกัน ต้องมีเป้าหมาย และอดทนต่อความอยากกลับไปใช้ยาอีกครั้ง เริ่มจากการหลีกเลี่ยงการกลับไปอยู่ในสังคมที่มีการใช้ยา ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเพื่อนเดิมๆ หรือสถานที่ที่เคยเสพยา  ต้องพึงนึกอยู่เสมอว่าการเสพยาเป็นแค่ความสุขแค่ชั่วคราว ที่ส่งผลเสียอย่างมากต่อร่างกายและการใช้ชีวิตในภายหลัง และนอกจากการรับประทานยาอย่างต่อเนื่องจากแทพย์แล้ว ควรหากิจกรรมที่ชอบอย่างอื่นทำด้วย ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย วาดภาพ หรือฟังเพลง กิจกรรมที่ชอบต่างๆจะช่วยเบี่ยงเบนความรู้สึกอยากกลับไปใช้ยาอีกครั้งได้ 

 ขอเป็นกำลังใจให้ทั้งผู้ที่ต้องการจะเลิกยาและทางครอบครัวด้วยเช่นกัน หากมีการร่วมมือกัน ใช้ความเข้าใจ และคอยเป็นกำลังใจให้กันและกัน เชื่อว่าอีกไม่นานทุกท่านจะสามารถเลิกใช้ยาและกลับมาใช้ชีวิตปกติได้

   คุณรู้มั้ยโคเคน (Cocaine) คือ อะไร ?

   โคเคน (Cocaine)เป็นยาเสพติดให้โทษในกลุ่มเดียวกับ ฝิ่น ,มอร์ฟีน หรือโคเดอีน โดยโคเคนเป็นสารที่สกัดมาจากใบของต้นโคคา ซึ่งพบมากในแถบอเมริกาใต้ ทางด้านการแพทย์ใช้โคเคนเพื่อเป็นยาชาเฉพาะที่ แต่เมื่อนำมาใช้เป็นสารเสพติดเข้าสู่ร่างกาย  จะออกฤทธิ์กระตุ้น ประสาทเหมือนกับยาบ้า (Amphetamines) ก็คือจะทำให้รู้สึกเคลิ้มเคลิ้ม  มีความสุข  สมองมึนเมา  นอนไม่หลับ หัวใจเต้นเร็ว แต่หากใช้ในปริมาณที่มากเกินไปและต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดอาการช็อค กล้ามเนื้อหัวใจตาย ถึงขั้นเสียชีวิตได้ทันที 

   โคเคนที่พบในประเทศไทย จะมี2 ลักษณะคือ ชนิดผง ที่เป็นแบบผงละเอียด สีขาว มีรสขม   และชนิดผลึกเป็นก้อน เรียกกันว่า แคร็ก ความแตกต่างของ 2 ชนิดนี้ คือ แคร็ก จะออกฤทธิ์เร็วกว่าแบบผง และให้ความสนุกสนานเคลิบเคลิ้มมากกว่า ทำให้ราคาแพงมากกว่ากันด้วย มีการกล่าวว่า ช่วงแรกๆทางบริษัทที่ผลิต Coke หรือ Coca-Cola ได้นำใบโคคามาสกัดเป็นเครื่องดื่ม ร่วมกับคาเฟอีน จนกระทั่งมีการต่อต้านจากผู้คนเรื่องการใช้ยาเสพติด ทางบริษัท Coke จึงได้ทำการคิดส่วนผสมใหม่ที่ยังใช้ใบโคคาแต่ไม่มีโคเคนแล้วได้สำเร็จ  และนั่นก็ได้ผ่านมาเป็นเวลามากกว่า 116 ปีแล้ว

   สำหรับบทลงโทษในประเทศไทยเรื่องการผลิต นำเข้าหรือส่งออกโคเคน จะต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปจนถึงตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 2 ล้านบาท ถึง 5ล้านบาท ด้านผู้เสพ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 3ปี หรือปรับตั้งแต่ 10,000บาท ถึง 60,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

   หากพูดถึงเรื่อง อันตรายของโคเคน นอกจากจะส่งผลทางร่างกายแล้ว ยังส่งผลต่อสภาพทางจิตใจด้วยเช่นกัน บางคนกลายเป็นโรคซึมเศร้า หวาดระแวง เห็นภาพหลอน มีอาการหูแว่ว ก่อให้เกิดการมีพฤติกรรมที่แปลกๆ ก้าวร้าว และเป็นอันตรายต่อตนเองและผู้คนรอบข้างได้ ทางที่ดี เราไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโคเคน หรือสารเสพติดไม่ว่าชนิดใดก็ตาม เนื่องจากจะมีผลเสียมากกว่าผลดีตามมาอย่างแน่นอน

     เมื่อประมาณต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีข่าวที่น่าสนใจ และมีการพูดถึงอย่างแพร่หลายในโลกโซเชียล เรื่องวัยรุ่นหลายคนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ได้มีการเสียชีวิตในช่วงระยะเวลาที่ใกล้เคียงกันมากกว่า10คน มีการสืบทราบมาว่า น่าจะมาจากสาเหตุเดียวกันด้วย นั่นก็คือการได้รับยาเสพติดที่เกินขนาด  และเป็นยาเสพติดชนิดใหม่ มีชื่อเรียกว่า เคนมผง
     มีการคาดว่า ยาเคนมผง มีส่วนประกอบของ สารเสพติดหลายชนิดผสมกัน เช่น ยานอนหลับ ยาไอซ์ เฮโรอีน และยาเค  เป็นสารสีขาวคล้ายนมผง จึงเรียกว่าเคนมผง ออกฤทธิ์รวดเร็วและอันตรายมาก โดยปกติทั่วไปหากมีการใช้ยาเสพติด ร่วมกับสารเสพติดชนิดอื่นเพียงแค่หนึ่งชนิดหรือใช้รวมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็สามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้แล้ว  แต่ในกรณีนี้เป็นการผสมกันของสารหลายชนิด ผู้ที่เสพต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะอาจถึงขั้นเสียชีวิตในเวลารวดเร็ว หลังจากที่ได้รับยา
     การได้รับยาหรือใช้ยาเสพติดที่เกินขนาด สามารถส่งผลต่อร่างกายตั้งแต่มีอาการเล็กน้อย ไปจนถึงเสียชีวิต เช่น
-คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง
-ตัวเย็น เหงื่อออก ตัวร้อน และผิวแห้ง
-ชีพจร และอัตราการเต้นของหัวใจและความดันผิดปกติ
-และมีปัญหาในเรื่องของการหายใจ
     ดังนั้นเราจึงควรต้องเพิ่มความระมัดระวังในการให้ยาหรือสารอื่นๆเข้าสู่ร่างกาย  โดยการอ่านฉลากก่อนใช้ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด  และเมื่อหากเกิดอาการผิดปกติใดๆก็ตามต่อร่างกายให้รีบพบแพทย์ทันที และที่สำคัญคือหลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติดทุกชนิดจะเป็นเรื่องดีที่สุด

ได้ขึ้นทะเบียนเป็นสถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยยาเสพติดและด้านสภาพจิตใจอย่างถูกต้องตามกฏหมาย

เกี่ยวกับศูนย์ฟื้นฟูไลท์เฮ้าส์

เป็นศูนย์ฟื้นฟูและพักฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในกรุงเทพ ศุนย์ฟื้นฟูไลท์เฮ้าส์ เป็นศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพในรูปแบบอเมริกัน ให้การรักษาติดยาเสพติดที่มีคุณภาพสูงสุดในราคาที่เหมาะสมและเป็นการบำบัดแบบเฉพาะในประเทศไทยเพื่อให้การรักษาเป็นรายบุคคลกับผู้บำบัดรักษาทุกราย เราเป็นเจ้าของและดำเนินการโดยทีมงานชาวอเมริกันและคนไทยที่มีประสบการณ์และได้รับการฝึกอบรมการรักษาการติดยาเสพติดและความผิดปกติด้านสุขภาพจิตจากสหรัฐอเมริกา

บริการของเรา

ให้การรักษาอาการของผู้ที่ติดยาเสพติดและแอลกอฮอล์โดยมีวิธีการรักษาแบบเหมาะสำหรับแต่ละบุคคล เรามีผู้เชี่ยวชาญด้านการบำบัดการติดยาเสพติดที่มีคุณสมบัติและความรู้เหมาะสมที่สุด และบุคลากรทางการแพทย์ของเราทุกคนจบปริญญาโทหรือสูงกว่าโดยมีประสบการณ์หลายปีในการทำงานด้านสุขภาพจิตและการรักษาติดยาเสพติด ได้รับการฝึกอบรมในการรักษาการติดยาเสพติดและรักษาผู้ที่มีอาการผิดปกติด้านสุขภาพจิต

ติดต่อเรา

Lighthouse Human Services & Consulting, Co., Ltd.

Head Office:
Ramkamheng 118
Saphan Sung, Bangkok 10240
Thailand

Email: [email protected]